10 จุดเด่นใน New Hilux Revo Double Cab
ภาพลักษณ์ใหม่ของรถกระบะ Toyota Hilux Revo
สิ่งที่ถือเป็นการปฏิวัติภาพลักษณ์ใหม่ของรถกระบะ Toyota Hilux Revo นอกจากรูปร่างหน้าตาที่สดใหม่แล้ว เทคโนโลยีใหม่ที่ใส่อยู่ใน Toyota Hilux Revo ก็เป็นอีกส่วนสำคัญที่ทำให้ลูกค้าให้ความสนใจและจับจองเป็นเจ้าของกัน โดยเทคโนโลยีที่กล่าวมานั้นจะมีอะไรบ้างเรามาดูกันเลยดีกว่าครับ
สิ่งที่ถือเป็นการปฏิวัติภาพลักษณ์ใหม่ของรถกระบะ Toyota Hilux Revo นอกจากรูปร่างหน้าตาที่สดใหม่แล้ว เทคโนโลยีใหม่ที่ใส่อยู่ใน Toyota Hilux Revo ก็เป็นอีกส่วนสำคัญที่ทำให้ลูกค้าให้ความสนใจและจับจองเป็นเจ้าของกัน โดยเทคโนโลยีที่กล่าวมานั้นจะมีอะไรบ้างเรามาดูกันเลยดีกว่าครับ
เครื่องยนต์
Toyota Hilux Revo ใหม่ มีเครื่องยนต์ให้เลือก 2 บล็อกด้วยกัน โดยแบ่งเป็นเครื่องยนต์ดีเซล 2 บล็อก และเครื่องยนต์เบนซิน 1 บล็อก โดยเริ่มต้นที่เครื่องยนต์ดีเซลก่อน ซึ่งเป็นเครื่องยนต์บล็อกใหม่หมด ที่มีจุดเด่นในเรื่องพละกำลังที่มากขึ้น ในขณะที่อัตราสิ้นเปลืองที่ต่ำลง และมีการปล่อยมลพิษที่น้อยลง ด้วยการลดขนาดความจุลงจากเดิม แต่นำเทคโนโลยีอันทันสมัยเข้ามาช่วยในการเพิ่มพละกำลัง และประสิทธิภาพการเผาไหม้ที่ดีขึ้น
เริ่มที่เครื่องยนต์บล็อกแรกในรหัส 1GD-FTV ขนาดความจุ 2,800 ซีซี. ที่มาทดแทนเครื่องยนต์รหัส 1KD-FTV ขนาด 3,000 ซีซี. เดิม ซึ่งมีความจุน้อยลง 200 ซีซี. และเครื่องยนต์บล็อก 2GD-FTV ขนาดความจุ 2,400 ซีซี. ที่มาทดแทนเครื่องยนต์รหัส 2KD-FTV ขนาด 2,500 ซีซี. ซึ่งมีความจุดน้อยลง 100 ซีซี. โดยทั้ง 2 บล็อกนี้ใช้เทคโนโลยีเดียวกัน แต่ต่างกันตรงที่ความจุเท่านั้น โดยเป็นเครื่องยนต์ดีเซล คอมมอนเรล แบบ 4 สูบ 16 วาล์ว พร้อมเทอร์โบแปรผัน (VN Turbo) และ Intercooler ที่มีการนำเทคโนโลยีระบบ หรือ VN-Turbo มาใช้เช่นเดิม ซึ่งเป็นจุดเด่นเหนือกว่าเทอร์โบแปรผันของค่ายอื่นๆ ตรงที่ใช้ DC Motor ที่สั่งการโดย ECU 32 บิท ในการควบคุมองศาคลีบเทอร์โบตามสถานการณ์การใช้งานได้อย่างละเอียดและมีประสิทธิภาพมากกว่า ทำให้ “ไม่มีอาการรอรอบ” อย่างเจ้าอื่นๆ
ซึ่งหากมองในแง่ความจุแล้วหลายท่านอาจจะมองว่า “น่าจะประหยัดขึ้น แต่แรงจะน้อยลงมั้ย” คำตอบคือ “ประหยัดขึ้นและแรงขึ้นแน่นอน” เพราะเครื่องยนต์บล็อกใหม่ทั้ง 2 รหัสนี้ มีการพัฒนาขึ้นในหลายด้าน ดังนี้
– เพิ่มประสิทธิภาพการฉีดจ่ายน้ำมันให้ดียิ่งขึ้น
ด้วยการเพิ่มแรงดันการจ่ายน้ำมันให้สูงขึ้นจาก 180 Mpa ในเครื่องยนต์บล็อกเดิม เป็น 220 Mpa ในเครื่องยนต์บล็อกใหม่ ทำให้สามารถฉีดจ่ายน้ำมันได้ละเอียดและแรงมากขึ้น นั่นหมายถึงในปริมาณน้ำมันเท่าเดิม เครื่องยนต์บล็อกใหม่ จะนำไปเผาไหม้ให้เกิดพลังงานได้มากกว่านั่นเอง
– ขยายขนาด Intercooler ให้ใหญ่ขึ้น
เพื่อให้สามารถระบายความร้อนของไอดีได้ดีและรวดเร็วขึ้น โดยมีการย้ายตำแหน่งการติดตั้ง Intercooler ใหม่มาอยู่ด้านหน้าหม้อน้ำ จากเดิมวางอยู่ด้านบนเครื่องยนต์ ซึ่งนอกจากจะช่วยดักอากาศได้มากขึ้นแล้ว ยังทำให้มีพื้นที่ในการขยายขนาดของ Intercooler ได้ง่ายขึ้นอีกด้วย
– ย้ายตำแหน่งเทอร์โบใหม่ เพื่อลดความยาวของท่อไอดีเครื่องยนต์ลง
การที่เทอร์โบติดตั้งอยู่ใกล้เครื่องยนต์มากขึ้น ทำให้การเดินท่อไอดีไปที่เครื่องยนต์สั้นลง เมื่อท่อไอดีสั้นลงทำให้แรงอัดอากาศไม่เสียในระหว่างการเดินทาง เครื่องยนต์ก็จะได้รับแรงอัดในการเผาไหม้ไปเต็มๆ เมื่อเผาไหม้ได้เต็มที่และหมดจด พละกำลังก็เยอะตาม ความประหยัดก็เพิ่มขึ้นนั่นเอง
–ติดตั้ง EGR Cooler เพื่อลดอุณหภูมิไอเสียให้ต่ำลงก่อนนำกลับไปเผาไหม้ใหม่
การทำให้ไอเสียเย็นลงก่อน จะช่วงให้ได้มวลอากาศที่มากขึ้น เมื่ออากาศมีมากขึ้นก็จะเผาไหม้ได้ดี กำลังก็เยอะ และประหยัดนั่นเอง
ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีเครื่องยนต์ 2TR-FE แบบเบนซิน ความจุ 2,700 CC. 4สูบ 16วาล์ว พร้อมระบบวาล์วไอดี-ไอเสียแปรผัน Dual VVT-i ที่รองรับพลังงาน E20 ให้เป็นทางเลือก ทั้งในรุ่น Double Cab Pre-Runner เกียร์อัตโนมัติ และ Smart Cab Pre-Runner เกียร์ธรรมดา เป็นทางเลือกใหม่
ระบบส่งกำลัง
ระบบส่งกำลังของ Toyota Hilux Revo มีให้เลือก 3 แบบ ด้วยกันแบ่งเป็นเกียร์ธรรมดา 2 แบบ นั่นก็คือแบบ 5 สปีด และ 6 สปีด ส่วนเกียร์อัตโนมัติ เป็นแบบ 6 สปีด พร้อมระบบ Sequential Shift ที่ปรับตำแหน่งเกียร์ได้ตามต้องการ ในรุ่นเกียร์ธรรมดา 6 สปีด มีเทคโนโลยีใหม่ที่ช่วยให้การขับขี่ง่ายขึ้น นั่นก็คือระบบ i-MT หรือ Intelligent Manual Transmission ที่จะมีการปรับรอบเครื่องยนต์ให้สัมพันธ์กับความเร็วในแต่ละช่วงที่ปรับตำแหน่งเกียร์ เพื่อให้การเปลี่ยนเกียร์ราบเรียบ ต่อเนื่อง ไม่สิ้นเปลืองน้ำมัน
โหมดการขับขี่ ใน Toyota Hilux Revo ผู้ขับขี่สามารถเลือกโหมดการขับขี่ได้ 3 โหมด นั่นก็คือ
– Eco Mode คือการขับขี่ที่เน้นความประหยัดน้ำมันสูงสุด โดยจะมีการหน่วงให้คันเร่งสั่งการช้าลง เพื่อลดปริมาณการใช้น้ำมันลง
– Power Mode คือการขับขี่ที่ต้องการพละกำลังสูง ในขณะเร่งแวง หรือขึ้นทางลาดชัน ผู้ขับขี่จะได้รับอรรถรสในการขับขี่สูงสุดจากพละกำลังที่มหาศาลของเครื่องยนต์
– Normal Mode คือไม่ต้องกดปุ่มใดๆ เลย เครื่องยนต์จะให้กำลังตามปกติในการขับขี่ทั่วไป
ระบบ Stop & Start System
เป็นระบบดับ และสตาร์ทเครื่องยนต์โดยอัตโนมัติในขณะใช้งานในเมือง เพื่อลดปริมาณการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงโดยไม่จำเป็น ในขณะจอดรถติด โดยเด่นการค่ายอื่นตรงที่ระบบปรับอากาศยังคงรักษาความเย็นของลมแอร์ไว้ได้อย่าต่อเนื่องขณะเครื่องยนต์ดับ /เซลเค.
LINK ที่เกี่ยวข้อง