อัพเดท : 1 สิงหาคม 2561

ไขข้อข้องใจ!! เกียร์ CVT และ เกียร์ Auto คืออะไร แล้วมีดียังไง

เกียร์ต่างกันอย่างไร

ทำความรู้จักเกียร์ CVT VS เกียร์ AUTO
ปัจจุบันรถยนต์ทั่วไปมักใช้เกียร์รถแบบ Auto และยังมีบางส่วนที่ขับแบบเกียร์กระปุก ในขณะที่รถรุ่นใหม่ๆ เริ่มเปลี่ยนมาใช้เกียร์ CVT กันมากขึ้น จะว่าไปแล้วคนขับรถทั่วไป ก็ไม่ค่อยเข้าใจหรือรู้ว่าเกียร์แต่ละแบบนั้นมีดีหรือเสียต่างกันอย่างไร ช่างเค.จึงนำข้อมูลมาฝากครับ

เกียร์ CVT คืออะไร แล้วมีดียังไง

ความแตกต่างระหว่าง เกียร์ CVT vs เกียร์ AUTO

เกียร์ CVT คืออะไร ถือว่าเป็นอีกหนึ่งข้อสงสัยสำหรับหลายๆคนวันนี้ผม “ช่างเค” เลยจะขอเอาประเด็นนี้มาอธิบายให้เพื่อนๆเข้าใจ และทำความรู้จักกันให้มากยิ่งขึ้นครับ

ระบบเกียร์ CVT (CONTINOUS VARIABLE TRANSMISSION) ในรถยนต์ หรือ ระบบเกียร์แปรผัน เป็นเกียร์ที่จะเปลี่ยนแปลงการทำงานตามกำลังที่ส่งมาจากเครื่องยนต์ ซึ่งในชุดเกียร์จะประกอบด้วย พูลเลย์ 2 ตัว ตัวแรกต่อกับเครื่องยนต์เรียกว่า พูลเล่ย์ขับ (DRIVE PULLEY) ส่วนตัวที่ต่อกับเพลาจะเรียกว่า พูลเลย์ตามหรือพูลเล่ย์กำลัง (DRIVEN PULLEY) โดยทั้งสองตัวจะทำงานสอดคล้องกันตามอัตราเร่งและรอบเครื่องยนต์

ในชุดเกียร์ AUTOMATIC หรือเกียร์ธรรมดา (Manual)

สำหรับรถยนต์เกียร์ AUTO หรือเกียร์ MANUAL ปกติเวลาเราเปลี่ยนจะต้องเข้าเกียร์ ซึ่งภายในเกียร์ก็จะเปลี่ยนและเลื่อนการขบกันของเฟืองไปยังชุดเกียร์ต่าง ๆ เช่น เกียร์ 1,2,3,4 จนถึงเกียร์สุดท้าย เพื่อให้ทำงานตามอัตราทดของเกียร์นั้น ๆ ทำให้รู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนอัตราทดในเกียร์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเปลี่ยนให้อัตราทดสูงขึ้นหรือต่ำลง หรือสามารถสังเกตได้จากรอบของเครื่องยนต์ อย่างไรก็ตามต้องยอมรับว่ามันช่วยเพิ่มอรรถรสและอารมณ์สนุกเร้าใจในการขับขี่ได้ ในส่วนของเกียร์ CVT ในรถยนต์นั้น จะไม่มีชุดเฟืองในแต่ละเกียร์ แต่จะปรับอัตราทดด้วยการเปลี่ยนขนาดของพูลเล่ย์ให้เป็น พูลเลย์ขับเล็ก พูลเลย์ตามใหญ่ เพื่อให้ได้แรงบิดในการออกตัว เปรียบเทียบก็เหมือนเกียร์ 1 เฟืองเล็กขับเฟืองใหญ่ เมื่อความเร็วสูงขึ้น ใช้เกียร์สูงขึ้น พูลเลย์ขับก็จะขยายตัวใหญ่ขึ้น ในขณะที่พูลเลย์ตามจะมีขนาดลดลง กลายเป็นใหญ่ขับเล็กและจะได้ความเร็ว ซึ่งรถมอเตอร์ไซค์ออโตเมติกปัจจุบันก็เป็นการทำงานแบบนี้เช่นกัน

ในเกียร์ CVT กับเกียร์ AUTO หรือเกียร์ธรรมดา จะมีหลักการปรับเปลี่ยนอัตราทดเหมือนกันคือเปลี่ยนจากเฟืองมาเป็นพูลเล่ย์ ที่จะขยายใหญ่หรือลดขนาดไปตามอัตราทดที่ต้องการ โดยใช้สายพานโลหะเป็นตัวเชื่อมการทำงานของพูลเลย์ทั้ง 2 อันไว้ด้วยกัน ซึ่งระบบการปรับขนาดของพูลเล่ย์นี้มีทั้งแบบทำงานโดยไฟฟ้าและไฮดรอลิก ทำให้ไร้ความรู้สึกในการปรับเปลี่ยนอัตราทดในเกียร์ CVT

ข้อดีของเกียร์ CVT

ข้อดีของเกียร์ CVT จุดเด่นคือความนุ่มนวล เพราะเกียร์ CVT จะเปลี่ยนอย่างต่อเนื่องไม่มีรอยต่อการเปลี่ยนเกียร์ จาก 1 ไป 2 ไป 3 เหมือนเกียร์ AUTO ปกติ ดังนั้นจึงทำให้รถยนต์นิ่งไม่มีความรู้สึกถึงการกระชาก หรือกระตุกในจังหวะเปลี่ยนเกียร์ แต่จะค่อย ๆ ไต่ความเร็วขึ้นไปเรื่อย ๆ อย่างนุ่มนวล ในขณะเดียวกันข้อดีของการที่เกียร์ไม่กระชาก จะทำให้รอบเครื่องไม่กระชากตามไปด้วย ส่งผลให้ทำให้อัตราการบริโภคน้ำมันลดลง และไม่มีการลากรอบทิ้งก่อนเปลี่ยนเกียร์เหมือนเกียร์ออโต้

ส่วนข้อเสียนั้นจริง ๆ แล้วอาจจะไม่ได้เรียกว่าเป็นข้อเสียซะทีเดียว เพราะส่วนใหญ่มักจะเกิดกับคนเท้าหนักหรือคนที่คุ้นเคยกับเกียร์ในแบบที่มีรอยต่อเกียร์ให้รู้สึกลากรอบเพื่อเรียกแรงบิดในเกียร์ออโต้เป็นหลัก เพราะอย่างที่อธิบายไปแล้วว่าเกียร์แบบนี้ ถูกออกแบบมาเพื่อให้การเปลี่ยนเกียร์นุ่มนวลไม่กระชาก ดังนั้นบรรดาขาซิ่งหรือผู้ที่คุ้นเคยกับเกียร์ออโต้แบบเก่า จึงรู้สึกเหมือนกับว่ารถมันไม่ค่อยวิ่ง ถ้าไปใช้วิธีการขับแบบเดิม ๆ ก็กลายเป็นมีแต่รอบ รถไม่วิ่ง แถมมาด้วย พอรถมันรู้สึกเหมือนไม่วิ่งก็คิ๊กดาวน์บ่อย ๆ กระชากสายพานบ่อย ๆ อายุสายพานก็ลดลง แต่ถ้าวัดความเร็วกันจริง ๆ ก็ช้ากว่าเกียร์ธรรมดาไม่มากนัก แค่รู้สึกไม่ทันใจเท่านั้นเอง เกิดจากการขัดความรู้สึกที่ชินกับเกียร์ออโต้หรือเกียร์ธรรมดาซะมากกว่า

ในการขับขี่รถยนต์ที่ใช้งานเกียร์ CVT อย่างถูกวิธี ซึ่งนอกจากจะทำให้คุณรีดสมรรถนะของเกียร์แบบนี้ ออกมาได้มากกว่าเดิมแล้ว ยังช่วยยืดอายุของเกียร์ให้มากขึ้นด้วย ในการออกตัวเกียร์ CVT จะทำงานด้วยอัตราทดที่สัมพันธ์กันตามการหมุนของรอบเครื่อง เพราะฉะนั้นในการออกตัวควรจะเริ่มจากค่อย ๆ กดคันเร่งลงไปเล็กน้อยให้รอบเครื่องเริ่มขยับ จนรู้สึกว่าเริ่มมีแรงบิดจากเกียร์ แล้วจึงค่อย ๆ เติมคันเร่งเพิ่มเข้าไป การใช้วิธีนี้จะทำให้รถออกตัวได้เร็วและนุ่มนวลกว่าการออกตัวแบบเหยีบคันเร่งไปแบบเต็มที่หรือทันทีทันใด เพราะการกดคันเร่งแบบหนักหน่วงทันทีจะทำให้รอบเครื่องกวาดขึ้น แต่พูลเล่ย์จะหมุนตามไม่ทัน รถจึงเกิดอาการรอรอบ

ส่วนวิธีที่จะขับให้ประหยัดนั้น พอรถออกตัวเคลื่อนที่แล้วให้กดคันเร่งเน้น ๆ หน่อย โดยรถจะค่อย ๆ ไต่ความเร็วขึ้นไปจนถึงความเร็วที่ต้องการให้ยกเท้าขึ้นนิดนึง แล้วคงความเร็วไว้นิ่งๆ ในช่วงความเร็วที่ต้องการ จะเป็นการขับโดยไม่มีรอบฟรีทิ้งให้เปลืองน้ำมัน ในการแซงหากกระแทกคันเร่งลงไปทีเดียวรถก็จะเกิดอาการรอรอบ (รอบกวาดสูง) เช่นกัน ต้องใช้วิธีเบิ้ลคันเร่งคือเมื่อจะเร่งแซงก็ให้กดคันเร่งเหมือนคิ๊กดาวน์ แล้วถอนออกเพื่อให้เกียร์ทำงานเร็วขึ้น

การบำรุงรักษา เกียร์ CVT

โดยส่วนใหญ่ผู้ขับขี่รถยนต์จะคุ้นเคยกับเกียร์ออโต้แบบเดิม คือ การออกตัวแบบรุนแรงรีบร้อนหรือการลากรอบเครื่องรอบเกียร์สูง ๆ บ่อย ๆ ฉะนั้นสิ่งแรกที่ถือว่าเป็นการบำรุงรักษารถยนต์เกียร์ CVT นั้น ต้องเริ่มจากการปรับพฤติกรรมการขับขี่ก่อน ได้แก่การไม่ออกตัวแบบกระชาก หรือไม่ทำเลยได้ยิ่งดี เพราะสายพานโลหะที่เชื่อมกำลังระหว่างพูลเล่ย์ทั้ง 2 ตัว ถ้ามีการกระชากบ่อย ๆ สายพานก็จะชำรุดเสียหาย ต่อมาควรมีการบำรุงรักษาอย่างถูกต้องและเหมาะสมตามระยะ นั่นคือ ตรวจสอบหรือเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเกียร์ตามระยะที่คู่มือกำหนด หรือเปลี่ยนทุก ๆ 40,000 หรือ 80,000 กม. และเพื่อให้สบายใจในการขับขี่มากควรเลือกเกรดน้ำมันเกียร์ให้ถูกต้องและเหมาะสมตามสเปคมาตรฐานของเกียร์ ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญมากเพราะน้ำมันเกียร์ของเกียร์ AUTO ธรรมดากับน้ำมันเกียร์ CVT มีค่าความหนืดไม่เท่ากัน ไม่ควรเอามาใช้ปนกันเด็ดขาด! …ซึ่งเพื่อนๆคนไหนที่มีความสนใจเปลี่ยนถ่าย ดูแลบำรุงรักษา สามารถเข้ามาใช้บริการที่ศูนย์บริหารมาตรฐาน โตโยต้า เค.มอเตอร์ส ทั้ง 17 สาขา ของเราได้เลยครับ หรือโทรนัดหมายหรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Call Center 02-662-6555

สรุป เกียร์ CVT vs เกียร์ AUTO ไม่ว่าจะเป็นเกียร์แบบไหน การใช้งานการขับขี่ก็เป็นปัจจัยหลักที่จะทำให้เกิดสมรรถนะสูงสุดไม่ว่าจะการสิ้นเปลืองหรือพละกำลัง รวมถึงอายุการใช้งานที่จะยืดยาวนานหรือสั้นก็อยู่ที่การขับขี่ซะส่วนใหญ่แล้วล่ะครับ ลองปรับเปลี่ยนและทำความคุ้นเคยกับเกียร์ CVT ดู แล้วจะรู้เลยว่ามันก็ไม่ธรรมดาจริงๆ /ช่างเค

อัพเดท : 24 พฤศจิกายน 2568

ภาพบรรยากาศงาน Hilux Travo : Greater Together Fest

Travo

รถกระบะรุ่นใหม่ เท่ทุกมุม ขับสบาย นุ่มทุกสภาพผิว
ในงาน Hilux Travo : Greater Together Fest เปิดตัว รถกระบะรุ่นใหม่ล่าสุด ลูกค้าให้ความสนใจเป็นอย่างมาก พร้อมข้อเสนอพิเศษ ภายในงานยังมีของแจกมากมาย ที่โชว์รูมโตโยต้า เค.มอเตอร์ส สาขาถนนจันทน์ เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา…

เก็บตกบรรยากาศภายในงาน Hilux Travo : Greater Together Fest ในวันเสาร์ที่ 22 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา กับรถกระบะที่เพิ่งเปิดตัวรุ่นใหม่ล่าสุดของโตโยต้า Toyota Hilux Travo (โตโยต้า ไฮลักซ์ ทราโวล) ที่หล่อทุกมุม ดีไซน์สวย พร้อมฟังก์ชันล้ำ งานนี้ลูกค้าคึกคักให้ความสนใจเป็นอย่างมาก แวะเวียนเข้ามาชมรถ พร้อมถ่ายรูปกันตลอดทั้งวัน ที่สำคัญภายในงานยังมีของแถม ขนม และของแจกมากมายให้กับลูกค้า พร้อมน้องเซลล์เค สุดน่ารัก อัธยาศัยดี มาให้คำปรึกษา พร้อมดีลดีๆ ตลอดทั้งวัน และยังมีช่างเค ช่างผู้เชียวชาญด้านรถ มาให้ความรู้เป็นพิเศษ เรียกได้ว่า งานนี้ครึกครื้น สนุกสนาน และได้ของสมนาคุณกลับบ้านมากมายกันเลยทีเดียว

โตโยต้า เค.มอเตอร์ส ต้องขอขอบคุณลูกค้าทุกท่านที่ให้ความสนใจ และพร้อมให้บริการด้านข้อมูล การทดลองขับ และข้อเสนอพิเศษ กับลูกค้าทุกท่าน และติดตามกิจกรรมดีๆ ในครั้งถัดไปได้เลยครับ

 

 

 

อัพเดท : 18 พฤศจิกายน 2568

วิธีใช้งาน ระบบเตือนก่อนการชน ใช้งานอย่างไร? ใช้ตอนไหน?

ความปลอดภัย

ควรเปิดใช้ตลอดเวลาหรือไม่อย่างไร.
ระบบเตือนก่อนการชน ( Pre-Collision System ) PCS เป็นระบบความปลอดภัยที่ทำงานโดยอัตโนมัติ และควรเปิดใช้งานไว้ตลอดเวลาขณะขับขี่ ระบบนี้จะใช้เซ็นเซอร์ กล้อง และเรดาร์ตรวจจับวัตถุ เช่น ยานพาหนะ คนเดินถนน หรือจักรยาน ที่อยู่ด้านหน้า เพื่อช่วยลดความเสี่ยงหรือลดความรุนแรงของการชน

วิธีใช้งาน ระบบเตือนก่อนการชน 

 

การเปิดใช้งานระบบ ระบบเตือนก่อนการชนจะทำงานโดยอัตโนมัติเมื่อสตาร์ทรถทุกครั้ง หรือสามารถตรวจสอบจากคู่มือการใช้รถ และเข้าไปที่เมนูตั้งค่าในรถได้ การปรับระดับความไว สามารถตั้งค่าความไวของการแจ้งเตือนได้ 3 ระดับ คือ สูง (High) กลาง (Normal) และต่ำ (Low) ซึ่งสามารถปรับได้ตามความต้องการและปรับตั้งให้เหมาะสมกับสภาพการจราจร


1. ความไวต่ำ ระบบจะแจ้งเตือนช้าสุด ระบบจะแจ้งเตือนช้าสุดรถต้องเข้าใกล้รถคันหน้ามากระบบจึงจะทำการแจ้งเตือนและสั่งให้เบรกทำงาน จึงเหมาะกับการใช้ในเส้นทางที่มีรถหนาแน่น

2. ความไวปลานกลาง ระบบจะแจ้งเตือนช้าลงกว่าการตั้งค่าความไวสูงแต่จะเร็วกว่าแบบความไวต่ำเหมาะกับการใช้งานบนเส้นทางที่การจราจรไม่หนาแน่น

3. ความไวสูง ระบบจะแจ้งเตือนเร็วขึ้น เหมาะกับการขับขี่ที่ต้องการการแจ้งเตือนล่วงหน้ามากๆ เช่น บนเส้นทางที่การจราจรไม่ติดขัดที่สามารถใช้ความสูงได้

 

การตรวจสอบหน้าจอแสดงผล สังเกตไอคอนหรือไฟเตือนบนหน้าจอของรถเวลาใช้งาน

ไอคอนสีเขียว แสดงว่าระบบตรวจจับรถคันหน้าและทำงานปกติ

ไอคอนสีเหลืองอำพัน แสดงว่ากำลังขับรถจี้ท้ายรถคันหน้ามากเกินไป

ไฟเตือนพร้อมเสียง จะดังขึ้นเมื่อระบบตรวจจับว่ามีโอกาสเกิดการชน

 

การทำงานของระบบเตือนก่อนการชน

ระบบเตือนก่อนการชนจะทำงานเพื่อช่วยให้ผู้ขับขี่ปลอดภัย ซึ่งมีการทำงานเป็นลำดับขั้น คือ…

1. แจ้งเตือน (Warning) เมื่อระบบคำนวณแล้วว่ารถอาจกำลังจะชน จะมีสัญญาณไฟเตือนกะพริบบนหน้าจอ และมีเสียงเตือนดังขึ้น เพื่อให้ผู้ขับขี่มีเวลาตอบสนอง

2. เตรียมความพร้อมระบบเบรก (Brake Assist) หากผู้ขับขี่ตอบสนองด้วยการเหยียบเบรก แต่แรงเบรกไม่เพียงพอ ระบบจะช่วยเพิ่มแรงเบรกให้มากขึ้นโดยอัตโนมัติ เพื่อช่วยลดความเร็วรถลงให้เร็วขึ้น

3. เบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ (Automatic Emergency Braking – AEB) หากผู้ขับขี่ไม่มีการตอบสนองเลย และระบบประเมินว่ามีโอกาสสูงมากที่จะเกิดการชน ระบบจะทำการเบรกเองโดยอัตโนมัติเพื่อลดความเสียหายหรือหลีกเลี่ยงการชน

 

ระบบเตือนก่อนการชน ใช้งานอย่างไรใช้ตอนไหนบ้าง

1. เปิดใช้งานไว้ตลอดเวลา ระบบเตือนก่อนการชนถูกออกแบบมาให้เป็นระบบความปลอดภัยพื้นฐานที่ควรเปิดใช้งานตลอดการขับขี่ในทุกสภาพถนน
2. สภาพการจราจรหนาแน่น มีประโยชน์อย่างยิ่งในการขับขี่ในเมืองที่มีการจราจรติดขัด เพื่อช่วยลดความเสี่ยงในการชน ท้ายรถคันหน้าโดยไม่ตั้งใจ 3. ขับขี่บนถนนที่อาจมีคนหรือสัตว์ข้ามระบบสามารถตรวจจับคนเดินถนนหรือจักรยานที่อยู่ในเส้นทางได้ ซึ่งจะช่วยเตือนให้ผู้ขับขี่ระวังได้ทัน

 

ข้อควรระวัง

1. ระบบเป็นเพียงผู้ช่วย ไม่ได้ทำหน้าที่แทนผู้ขับขี่

2. การทำงานของระบบอาจถูกจำกัดได้ในบางสถานการณ์ ดังนี้
2.1 เมื่อเซ็นเซอร์หรือกล้องถูกบดบังด้วยฝุ่น โคลน หิมะ หรือวัตถุอื่น
2.2 ในสภาพอากาศที่ไม่เอื้ออำนวย เช่น ฝนตกหนัก หมอกหนา หรือแสงแดดส่องจ้า
2.3 ผู้ขับขี่ควรรักษาความสะอาดของเซ็นเซอร์และกล้องที่อยู่บริเวณกระจังหน้าและกระจกบังลมอย่างสม่ำเสมอ

 

สายพานสายพาน

 

เรื่องที่น่าสนใจอื่นๆ

อัพเดท : 17 พฤศจิกายน 2568

“ช่างเค” ยืนหนึ่ง กวาดเรียบ 2 รางวัลชนะเลิศ ในงาน “Skill Contest” ครั้งที่ 47

โชว์เจ๋ง

คว้ารางวัลสุดยิ่งใหญ่ระดับประเทศ…
2 ผู้บริหาร จากโตโยต้า เค.มอเตอร์ส ร่วมแสดงความยินดีกับผู้เข้าแข่งขันใน “การแข่งขันทักษะการบริการลูกค้าโตโยต้า ครั้งที่ 47 (Toyota Dealer Customer Service Skill contest)” ที่จัดขึ้นในวันที่ 15-16 พฤศจิกายน 2568 ณ ศูนย์การศึกษาและฝึกอบรมโตโยต้า สุวินทวงศ์ ที่จังหวัดฉะเชิงเทรา  ….

โตโยต้า เค.มอเตอร์ส สุดภาคภูมิใจกับการคว้าชัยชนะ 2 รางวัล “ช่างเทคนิคระดับสูง” และ “ช่างเทคนิคระดับพื้นฐาน” 2 รางวัลที่ใหญ่ที่สุด จากเวทีการแข่งขันทักษะการบริการลูกค้าโตโยต้า ครั้งที่ 47 (Toyota Dealer Customer Service Skill contest) โดยมี คุณจิรเดช สมภพรุ่งโรจน์ และคุณกนก สมภพรุ่งโรจน์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท โตโยต้า เค.มอเตอร์ส ผู้จำหน่ายโตโยต้า จำกัด ร่วมแสดงความยินดีกับผู้ชนะและผู้เข้าร่วมการแข่งขันทุกท่าน

 

ขอแสดงความยินดีกับ “ช่างเคคนเก่ง” ของเรา ที่สามารถคว้ารางวัลสุดยิ่งใหญ่นี้มาได้ถึง 2 รางวัล ได้แก่
นายธีรพล คุณวงศ์ รางวัลชนะเลิศ ประเภทช่างเทคนิคระดับสูง และ
นายวิชัย จันชฎา รางวัลชนะเลิศ ประเภทช่างเทคนิคระดับพื้นฐาน
ซึ่งถือเป็นรางวัลใหญ่ที่สุดของเวทีนี้ ชัยชนะครั้งนี้เป็นการตอกย้ำความสำเร็จและความเป็นที่สุดของ เค.มอเตอร์ส ทั้งในเรื่องช่างสุดยอดฝีมือและในด้านงานบริการของโตโยต้า เค.มอเตอร์ส ที่มีมาโดยตลอด..

 

ในครั้งนี้ผู้เข้าแข่งขันจาก โตโยต้า เค.มอเตอร์ส ฝ่าฟันมาจนถึงรอบสุดท้ายได้ถึง 4 ประเภท ได้แก่ ช่างเทคนิคระดับสูง, ช่างเทคนิคระดับพื้นฐาน, คอลเซ็นเตอร์ และผู้บริหารงานสีและตัวถัง ซึ่งกว่าจะมาถึงรอบชิงชนะเลิศ ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะต้องฝ่าด่านการแข่งขัน คัดจากร้อย หลักพันคน จนมายืนอยู่ในรอบสุดท้าย ทุกคนได้แสดงศักยภาพอย่างเต็มที่ และเก่งมากๆ ที่ได้เป็นตัวแทนและสร้างชื่อเสียงให้กับ เค.มอเตอร์ส

 

และนี่คือบทพิสูจน์ และผลลัพธ์ที่ได้จากความมุ่งมั่นของผู้เข้าแข่งขัน ทีมงาน และครูฝึก ที่อดทน ฝึกฝน และพัฒนาศักยภาพอย่างไม่ย่อท้อ จนสามารถคว้ารางวัลการแข่งขันทักษะการบริการลูกค้าโตโยต้าในครั้งนี้มาได้อีกครั้ง เป็นการการันตีและทำให้ลูกค้าเชื่อมั่นได้ว่าทุกครั้งที่เข้ารับบริการจาก เค.มอเตอร์ส จะไม่ผิดหวัง เพราะเรามีพนักงานที่มีความเชี่ยวชาญ มีความรู้และความสามารถ รางวัลระดับประเทศการันตี..

 

นึกถึง “โตโยต้า” นึกถึง “เค.มอเตอร์ส”

 

Skill Contest Skill Contest Skill Contest
Skill Contest Skill Contest Skill Contest
Skill Contest Skill Contest Skill Contest
Skill Contest Skill Contest Skill Contest

 

 

อัพเดท : 17 พฤศจิกายน 2568

ออกรถใหม่ จอดรถแล้วได้กลิ่นไหม้ อันตรายไหม

สิ่งที่ควรทำ

รถใหม่มีกลิ่นเหม็นไหม้ไม่พึงประสงค์..
การได้กลิ่นไหม้ขณะจอดรถอันตรายมาก ต้องตรวจสอบและรีบแก้ไขทันที หากฝืนขับต่อไปอาจทำให้เกิดความเสียหายรุนแรงตามมาได้ ซึ่งปัญหาเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น ระบบเบรก ระบบไฟฟ้าลัดวงจร ท่อยางชำรุด หรือมีวัตถุอื่นมาติดที่เครื่องยนต์หรือท่อไอเสียที่กำลังร้อนจัด

เมื่อ จอดรถแล้วได้กลิ่นไหม้ ต้องไปดูจุดที่เกิดกลิ่นเหม็นไหม้ ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไรบ้าง… 1. กลิ่นเหม็นไหม้จากระบบเบรก เกิดจากลูกสูบเบรกติด ทำให้ผ้าเบรกถูกกดกับจานเบรกตลอดเวลา จนผ้าเบรกร้อนจัดแล้วเกิดกลิ่นเหม็นไหม้ หลังจากมีการขับรถใช้งานหรือมีการลืมปลดเบรกมือในขณะขับรถ 2. กลิ่นเหม็นไหม้จากระบบคลัตช์ ผ้าคลัตช์ไหม้เกิดจากการใช้งานระบบคลัตช์ไม่ถูกต้อง เช่น วางเท้าเอาไว้ที่แป้นคลัตช์ตลอดเวลา หรือการเลียคลัตช์เวลาขับขี่ จะทำให้ผ้าคลัตช์ลื่นและเกิดความร้อนสูง และมีกลิ่นเหม็นไหม้ของคลัตช์ตามมา 3. กลิ่นเหม็นไม้จากระบบไฟฟ้า เกิดการลัดวงจรในระบบไฟฟ้า เช่น หนูกัดสายไฟแล้วเกิดการลัดวงจรของสายไฟ เกิดความร้อนสูงจนสายไฟไหม้ ละลาย และเกิดกลิ่นเหม็นไหม้ตามมาได้ 4. กลิ่นเหม็นไม้จากจุดลงกราวด์ไม่แน่น เช่น น็อตยึดจุดลงกราวด์หลวม ทำให้กระแสไฟไหลไม่สะดวก จนเกิดความร้อนสูง ส่งผลให้สีตัวถังมีกลิ่นเหม็นไหม้ตามมา 5. กลิ่นเหม็นไหม้จากสายพานหย่อน หรือชิ้นส่วนที่เป็นยางหรือพลาสติก สายพานหย่อนทำให้ลื่นและร้อน จนมีกลิ่นเหม็นไหม้เวลาเครื่องยนต์ทำงาน ท่อยางหรือชิ้นส่วนที่เป็นพลาสติก อาจหลุดหลวมไปโดนท่อร่วมไอเสีย ทำให้ละลายเกิดกลิ่นไหม้ 6. กลิ่นเหม็นไหม้จากวัตถุแปลกปลอม เช่น มีถุงพลาสติกไปติดอยู่บริเวณเครื่องยนต์หรือท่อไอเสีย แล้วความร้อนจากเครื่องยนต์หรือท่อไอเสีย ทำให้ถุงพลาสติกละลายและเกิดกลิ่นเหม็นไหม้ 7.กลิ่นเหม็นไหม้จากระบบแอร์ อาจเกิดจากหน้าคลัตช์ตั้งห่างหรือชิดจนเกินไป ทำให้หน้าคลัตช์ลื่น กรณีตั้งห่างเกินไปเวลาหน้าคลัตช์จับจะเกิดการลื่นและเสียดเสียกัน จนเกิดความร้อนสูง หน้าคลัตช์จึงมีกลิ่นไหม้ ส่วนกรณีที่ตั้งชิดเกินไป เวลาที่ระบบแอร์สั่งตัดการทำงาน หน้าคลัตช์แต่หน้าคลัตช์ที่ชิดก็จะเกิดการเสียดสีกับมูเล่ย์คอมเพรสเซอร์แอร์ จนเกิดการเสียดสีกันทำให้เกิดความร้อนที่หน้าคลัตช์คอมเพรสเซอร์แอร์ ส่งผลให้มีกลิ่นเหม็นไหม้จากจุดนี้ได้   สิ่งที่ควรทำเมื่อได้กลิ่นไหม้  … 1. อย่าฝืนใช้รถต่อ ห้ามฝืนขับต่อเด็ดขาด เพราะอาจทำให้ความเสียหายลุกลามรุนแรงมากขึ้น 2. ตรวจสอบเบื้องต้น ตรวจสอบจุดที่ทำให้เกิดกลิ่น เช่น ลองตรวจสอบบริเวณใต้ท้องรถว่ามีถุงพลาสติกหรือวัตถุแปลกปลอมอื่นๆ ติดอยู่หรือไม่ ถ้ามีให้รีบนำออกทันที 3. ติดต่อศูนย์บริการ หากไม่พบวัตถุแปลกปลอม หรือไม่สามารถแก้ไขเองได้ ให้ติดต่อศูนย์บริการหรือรีบนำรถเข้าศูนย์บริการเพื่อทำการตรวจสอบอย่างละเอียดโดยด่วน            หากออกรถใหม่ พอจอดรถแล้วได้กลิ่นไหม้ อย่าฝืนใช้รถต่อ ให้ทำการตรวจสอบหาสาเหตุเบื้องต้นก่อน ถ้ายังไม่พบสาเหตุของกลิ่นเหม็นไหม้หรือไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยตัวเองให้ติดต่อศูนย์บริการหรือรีบนำรถเข้าศูนย์บริการเพื่อทำการตรวจสอบอย่างละเอียดโดยด่วน เนื่องจากอาจจะทำให้เกิดอันตรายจากไฟลุกไหม้ หรือเกิดความเสียหายรุนแรงตามมาได้ครับ   สายพานสายพาน   เรื่องที่น่าสนใจอื่นๆ

อัพเดท : 11 พฤศจิกายน 2568

ฤกษ์ออกรถ ปี 2569 (2026)

ออกรถใหม่

วันไหนฤกษ์ดี มงคล …
มาแล้ว…ฤกษ์ออกรถปี 2569 (2026) ใครที่กำลังมองหาฤกษ์งามยามดีมงคล สำหรับออกรถคันใหม่ ต้องรู้…วันไหนควรซื้อ วันไหนฤกษ์ขัดกับวันเกิด แล้ววันไหนที่ควรออกรถมากที่สุด มีฤกษ์มาให้ดูทั้งปี เพื่อให้คุณได้ออกรถในวันที่เหมาะสมและฤกษ์ดี สิริมงคลมากที่สุด

ฤกษ์ออกรถ ปี 2569 (2026)

 

วันที่ควรออกรถที่สุด…

วันจันทร์
เชื่อว่าการซื้อรถวันจันทร์ จะพบเจอกับโชคลาภและความโชคดี ทำมาค้าขึ้น มีกำไร และลาภลอยมาหาอย่างคาดไม่ถึง

 

วันศุกร์
เชื่อว่าการซื้อรถในวันศุกร์ มักมีโชค ลาภอยู่เสมอ ทำอะไรไม่ติดขัด มีลาภและยศกำลังรออยู่วันที่

 

มกราคม 

 

ฤกษ์ออกรถ ปี 2569 (2026)

 

วันที่ คะแนน วันเกิดห้ามใช้
08/01/69
20/01/69
21/01/69
26/01/69
27/01/69
7.8
8.4
7.6
9
8.2
จันทร์
พุธ
เสาร์
จันทร์
จันทร์

 

กุมภาพันธ์

 

ฤกษ์ออกรถ ปี 2569 (2026)

 

 

วันที่ คะแนน วันเกิดห้ามใช้
02/02/69
03/02/69
04/02/69
10/02/69
16/02/69
17/02/69
9
8.2
8
8.2
9
9.2
อังคาร
พุธ
เสาร์
พุธ
อังคาร
พุธ

 

มีนาคม

 

ฤกษ์ออกรถ ปี 2569 (2026)

 

 

วันที่ คะแนน วันเกิดห้ามใช้
20 มี.ค 69 8 อาทิตย์

 

เมษายน

 

ฤกษ์ออกรถ ปี 2569 (2026)

 

 

วันที่ คะแนน วันเกิดห้ามใช้
14/04/69
20/04/69
22/04/69
29/04/69
8.4
9.2
8.4
8.4
พุธ
อังคาร
เสาร์
เสาร์

 

พฤษภาคม

 

ฤกษ์ออกรถ ปี 2569 (2026)

 

 

วันที่ คะแนน วันเกิดห้ามใช้
02/05/69
06/05/69
10/05/69
13/05/69
19/05/69
26/05/69
29/05/69
7.8
7.8
7.8
8.4
8.2
8.2
9
พฤหัสบดี
เสาร์
จันทร์
เสาร์
พุธ
พุธ
อาทิตย์

 

มิถุนายน

 

ฤกษ์ออกรถ ปี 2569 (2026)

 

 

วันที่ คะแนน วันเกิดห้ามใช้
05/06/69
12/06/69
17/06/69
19/06/69
20/06/69
25/06/69
26/06/69
8.2
9.2
8.4
8.4
7.8
8.2
8.6
อาทิตย์
อาทิตย์
เสาร์
อาทิตย์
พฤหัสบดี
จันทร์
อาทิตย์

 

กรกฎาคม

 

ฤกษ์ออกรถ ปี 2569 (2026)

 

 

วันที่ คะแนน วันเกิดห้ามใช้
01/07/69
02/07/69
04/07/69
09/07/69
10/07/69
15/07/69
27/07/69
29/07/69
30/07/69
31/07/69
8
8.2
7.8
8.4
8.6
8
7.8
8.2
8.2
8.4
เสาร์
จันทร์
พฤหัสบดี
จันทร์
อาทิตย์
เสาร์
อังคาร
เสาร์
จันทร์
อาทิตย์

 

สิงหาคม

 

ฤกษ์ออกรถ ปี 2569 (2026)

 

 

วันที่ คะแนน วันเกิดห้ามใช้
012/08/69
13/08/69
14/08/69
26/08/69
8.2
8.2
8.2
8.2
เสาร์
จันทร์
อาทิตย์
เสาร์

 

กันยายน

 

ฤกษ์ออกรถ ปี 2569 (2026)

 

 

วันที่ คะแนน วันเกิดห้ามใช้
06/09/69
09/09/69
11/09/69
26/09/69
7.8
8.2
8.2
8.4
จันทร์
เสาร์
อาทิตย์
พฤหัสบดี

 

ตุลาคม

 

ฤกษ์ออกรถ ปี 2569 (2026)

 

 

วันที่ คะแนน วันเกิดห้ามใช้
10/10/69
11/10/69
14/10/69
16/10/69
17/10/69
19/10/69
23/10/69
26/10/69
28/10/69
31/10/69
8.4
7.8
8.6
9
8.4
8.6
8.4
7.8
8.2
8.4
พฤหัสบดี
จันทร์
เสาร์
อาทิตย์
พฤหัสบดี
อังคาร
อาทิตย์
อังคาร
เสาร์
พฤหัสบดี

 

พฤศจิกายน

 

ฤกษ์ออกรถ ปี 2569 (2026)

 

 

วันที่ คะแนน วันเกิดห้ามใช้
02/11/69
06/11/69
09/11/69
24/11/69
7.8
9.2
7.8
8.6
อังคาร
อาทิตย์
อังคาร
พุธ

 

เดือนธันวาคม

 

ฤกษ์ออกรถ ปี 2569 (2026)

 

 

วันที่ คะแนน วันเกิดห้ามใช้
08/12/69
17/12/69
23/12/69
24/12/69
8.6
8.4
8.4
8.2
พุธ
จันทร์
เสาร์
จันทร์

 

 

 

อ่านบทความที่น่าสนใจ