เกียร์ S + – คืออะไร ใช้งานอย่างไร ใช้ตอนไหนดี?
ควบคุมเอง
ให้อารมณ์เหมือนขับรถเกียร์ธรรมดา…
ตำแหน่งเกียร์ S ในระบบเกียร์อัตโนมัติ คือตำแหน่งเกียร์แบบ Sport ที่จะทำให้ลากรอบของเครื่องยนต์สูงขึ้น เกียร์เปลี่ยนช้าลง มีจุดประสงค์ในการใช้ระบบเกียร์เพื่อฉุดลากรถให้เคลื่อนที่ไปข้างหน้าเร็วขึ้น โดยการใช้รอบเครื่องยนต์ที่สูงมากขึ้นกว่าปกติ
เมื่อเทียบกับตำแหน่งเกียร์ D เพื่อเพิ่มความรวดเร็วในการเร่งแซง และตอบสนองต่อการขับขี่ที่รีบเร่ง แบบ Sport แต่ก็ต้องแลกกับอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงที่เพิ่มขึ้นมากกว่าในตำแหน่งเกียร์ D เกียร์ S + / –
ตำแหน่ง เกียร์ S ในระบบเกียร์อัตโนมัติ และมีสัญลักษณ์ + / – คือตำแหน่งเกียร์แบบ Sport ที่สามารถเปลี่ยนเกียร์ หรืออัตราทดเกียร์โดยผู้ขับขี่เอง ซึ่งจะเปลี่ยนเกียร์ขึ้นหรือลงเองโดยผู้ขับขี่เหมือนกับรถเกียร์ธรรมดา เช่น รถรีโว่ เกียร์อัตโนมัติ 6 Speed ถ้าอยู่ในตำแหน่งเกียร์ D ระบบควบคุมเกียร์อัตโนมัติจะทำการเปลี่ยนเกียร์ ขึ้นลงจากเกียร์ 1-2-3-4-5-6 ตามสัญญาณความเร็วรอบเครื่องยนต์/ความเร็วรถ/ตำแหน่งแป้นคันเร่ง/ ตำแหน่งเกียร์ และจะคำนวณ ควบคุมการเปลี่ยนเกียร์จากเกียร์ 1-2-3-4-5-6 ขึ้นหรือลงให้เหมาะสม แต่ถ้าเลือกตำแหน่งเกียร์ S + / – ผู้ขับขี่จะต้องเปลี่ยนเกียร์ขึ้น/หรือลง จากเกียร์ 1-2-3-4-5-6 หรือเปลี่ยนเกียร์ลงจากเกียร์ 6-5-4-3-2-1 ด้วยผู้ขับขี่เอง โดยตำแหน่งเกียร์จะแสดงให้เห็นที่หน้าปัดเรือนไมล์แจ้งตำแหน่งเกียร์ในขณะนั้นๆ
การใช้งานตำแหน่งเกียร์ S + / –
กรณีเลือกใช้เกียร์ S + / – ตั้งแต่ออกตัวจากจุดหยุดนิ่ง เมื่อผลักคันเกียร์จากตำแหน่งเกียร์ D มาที่เกียร์ S +/- คันเกียร์จะอยู่ตรงกลางระหว่างสัญลักษณ์ + กับ – ระบบควบคุมเกียร์อัตโนมัติจะควบคุมให้อัตราทดเกียร์อยู่ในตำแหน่งเกียร์ 4 เพื่อลดอาการเกียร์กระตุก 4 โดยตำแหน่งเกียร์จะแสดงให้เห็นที่หน้าปัดเรือนไมล์ หากเหยียบคันเร่งออกตัวไปรถจะไม่มีกำลัง เนื่องจากอยู่ที่ตำแหน่งเกียร์ 4 ไม่มีแรงบิดในการออกตัว ดังนั้นผู้ขับขี่จะต้องทำการเปลี่ยนเกียร์มาที่เกียร์ 1 โดยการผลักคันเกียร์ไปด้านสัญลักษณ์ลบ ( – ) 3 ครั้ง เกียร์ก็จะเปลี่ยนจากเกียร์ 4 – 3 – 2 – 1 ดูตำแหน่งเกียร์ได้จากหน้าปัด เมื่อตำแหน่งเกียร์แสดงที่เกียร์ 1 แล้ว จากนั้นจึงทำการเหยียบคันเร่งออกตัวไป เมื่อรอบของเครื่องยนต์อยู่ที่ประมาณ 1,600 – 2,000 รอบ/นาที ให้ทำการผลักคันเกียร์ไปด้านบวก ( + ) เพื่อเพิ่มเกียร์ไปเป็นเกียร์ 2 ,3 ,4 , 5 , 6 ให้เหมาะสมตามความเร็วรถ และเมื่อต้องการลดความเร็วลงก็ต้องผ่อนคันเร่งและลดเกียร์ลง โดยผลักคันเกียร์ไปที่ด้านลบ ( – ) เพื่อลดเกียร์ลงให้เหมาะสมกับความเร็วรถ
กรณีเลือกใช้เกียร์ S + / – ในขณะขับขี่
กรณีขับขี่อยู่ที่ตำแหน่งเกียร์ D แล้วต้องการจะเปลี่ยนไปที่เกียร์ S + / – สามารถผลักไปที่เกียร์ S ได้เลย โดยความเร็วไม่ควรสูงเกิน 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง เนื่องจากหลังผลักคันเกียร์จาก D มาที่เกียร์ S ระบบควบคุมเกียร์อัตโนมัติจะควบคุมให้อัตราทดเกียร์อยู่ในตำแหน่งเกียร์ 4 หากอยู่ที่ความเร็วสูงกว่านี้อาจจะทำให้รถมีอาการหัวทิ่มได้ แต่ถ้าอยู่ที่ความเร็วต่ำเวลาเหยียบคันเร่งก็จะไม่มีกำลัง ดังนั้นหลังจากที่ผู้ขับขี่ผลักคันเกียร์มาที่เกียร์ S แล้วจะต้องเพิ่มหรือลดเกียร์ให้เหมาะสมกับความเร็วรถในขณะนั้นด้วย โดยการผลักคันเกียร์ไปด้านบวก (+) หรือด้านลบ (-) เพื่อทำการปรับตำแหน่งเกียร์ให้เหมาะสมกับความเร็วรถ
ดังนั้นเกียร์ S +/- คือเกียร์อัตโนมัติแบบ Sport ที่สามารถเปลี่ยนเกียร์ ขึ้นหรือ เปลี่ยนเกียร์ลงเองโดยผู้ขับขี่โดยหากผลักไปด้านบวก (+) จะเป็นการเพิ่มเกียร์ ผลักไปด้านลบ (-) จะเป็นการลดเกียร์ลง โดยจะเพิ่มหรือลดเกียร์ครั้งละ 1 เกียร์ เหมือนกับรถเกียร์ธรรมดา โดยตำแหน่งเกียร์จะแสดงให้เห็นที่หน้าปัดว่าอยู่ในตำแหน่งเกียร์ไหน เพื่อให้ผู้ขับขี่ทราบและเปลี่ยนเกียร์ให้เหมาะสมกับความเร็วรถและสภาวะในการขับขี่ เมื่อผลักคันเกียร์จากเกียร์ D มาที่เกียร์ S ระบบควบคุมเกียร์อัตโนมัติจะควบคุมให้อัตราทดเกียร์อยู่ในตำแหน่งเกียร์ 4 ไม่ว่ากรณีจอดอยู่ที่หรือในขณะขับขี่อยู่ เพื่อให้ไม่เกิดอาการหัวทิ่มควรใช้ความเร็วไม่เกิน 100 กิโลเมตร/ชั่วโมงเวลาเปลี่ยนจากเกียร์ D มาที่เกียร์ S โดยเกียร์ S + / – มีไว้ใช้สำหรับเร่งแซง หรือใช้ในเวลาเร่งรีบหรือเมื่อต้องการเปลี่ยนเกียร์เองโดยผู้ขับขี่ที่ต้องการอารมณ์เหมือนขับรถเกียร์ธรรมดา และที่สำคัญมีเอาไว้ใช้สำหรับขึ้น/ลงทางชันเพื่อลดการใช้เบรกครับ
เรื่องที่น่าสนใจอื่นๆ
- แบตเตอรี่ Smart Key หมด ทำอย่างไร
- สัญลักษณ์สามเหลี่ยม บนแก้มยางมีประโยชน์อย่างไร
- ความรู้เกี่ยวกับรถยนต์เรื่องอื่นๆ
- คุยกับช่างเค คลิก
- คุยกับเราได้ที่ https://www.facebook.com/toyotakmotors















