อัพเดท : 11 พฤษภาคม 2566

จานเบรกขึ้นสนิม จะเป็นอันตรายไหม ?

เกิดจากอะไร

วิธีการป้องกันและแก้ไขต้องทำอย่างไร…
การเกิดสนิมที่จานเบรก ถือว่าเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้ เมื่อรถเจอความชื้นหรือรถที่เพิ่งขับผ่านพื้นที่ท่วมขังมาครับ รถไม่ได้เกิดปัญหาอะไร และไม่ส่งผลเสียหายต่อรถยนต์ เพราะถ้าขับรถไปสักพักสนิมบนจานเบรกจะค่อยๆ หลุดออกเอง โดยไม่ต้องทำอะไร…

จานเบรกขึ้นสนิม ไม่เป็นอันตราย.. จานเบรกขึ้นสนิม ก็คือออกไซด์ของเหล็ก เกิดจากนํ้าหรือความชื้น ทำปฏิกิริยากันกับออกซิเจนในอากาศทำให้เกิดเป็นสนิมหรือที่เรียกว่า สนิมแดง ซึ่งเกิดได้ง่ายมาก แค่จอดรถไว้ข้ามคืนหรือหลังจากล้างรถ ถือว่าเป็นเรื่องปกติ เนื่องจากสนิมแดงที่เกาะบริเวณผิวหน้าจานเบรกนั้นบางและมีความสามารถในการกัดกร่อนน้อยมาก เมื่อเทียบกับจานเบรกที่ใช้เหล็กอย่างดีในการผลิต ทำให้สนิมแดงตัวนี้แทบไม่ทำอันตรายใดๆ ต่อจานเบรกเลย

 

เมื่อเจอสนิมจานเบรก ไม่ต้องแก้ไขอะไร หากขับรถไปสักพัก ทุกครั้งที่มีการแตะเบรก ผ้าเบรกจะทำความสะอาดผิวหน้าจานเบรกให้กลับมาสะอาดเหมือนเดิม แต่สิ่งที่ห้ามทำคืออย่านำสารหล่อลื่นหรือสเปรย์ใดๆ มาฉีดลงบนจานเบรกเพราะอาจจะทำให้จากเบรกลื่น เบรกไม่อยู่ ส่งผลให้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงตามมาได้

 

วิธีป้องกันและแก้ไข จานเบรกขึ้นสนิม

 

สำหรับรถที่จอดไว้นานหรือไม่ค่อยได้ใช้ ควรจอดไว้ในที่ร่ม มีอากาศถ่ายเท และต้องเป็นพื้นที่ที่ไม่มีความชื้นหรือน้ำท่วมขังได้ แนะนำให้นำรถออกมาขับบ้าง ป้องกันการเกิดสนิมจานเบรก รวมไปถึงเพื่อไม่ใช้ชิ้นส่วนอื่นๆ ของรถยนต์เกิดการเสียหายนั่นเอง ส่วนรถที่ใช้งานบ่อยๆ เพื่อป้องกันการเกิดสนิม ควรหลีกเลี่ยงเส้นทางที่มีน้ำท่วมขัง

 

สายพานสายพาน

 

 

 

เรื่องที่น่าสนใจอื่นๆ

อัพเดท : 10 พฤษภาคม 2566

ฮวงจุ้ยที่จอดรถ ควรสร้างแบบไหนดี?

แบบนี้ดี

ที่จอดรถไว้ตรงไหนของบ้านถึงดี…
คนไทยมีความเชื่อในเรื่องของฮวงจุ้ยในการสร้างบ้าน และการจัดวางพื้นที่ต่างๆ ภายในบ้าน รวมไปถึง “ที่จอดรถ” ที่ควรออกแบบไว้ส่วนไหนของบ้านดี เพราะการจัดวางที่ดีและถูกต้องตามหลักของฮวงจุ้ยจะช่วยเสริมดวงในเรื่องต่างๆ ของเข้าของบ้านได้ แล้วพื้นที่ไหนเหมาะสมกับการสร้าง “ที่จอดรถ” ไปดูกันครับ

ฮวงจุ้ยที่จอดรถ

สร้างพื้นที่ “จอดรถ” อย่างไรให้เหมาะสมกับฮวงจุ้ย


1. สร้างแยกจากตัวบ้าน
การสร้างที่จอดรถแยกออกจากตัวบ้าน เป็นหลักฮวงจุ้ยที่ดี เหมาะกับบ้านที่มีพื้นที่กว้างขวาง

 

2. ที่จอดรถไม่ควรสร้างตรงกับห้องนอน เพราะถ้าสร้างที่จอดรถตรงกับห้องนอนหรือติดกับห้องนอน เชื่อว่าจะทำให้การเงินติดขัด อีกทั้งยังส่งเสียงดังรบกวนเวลาพักผ่อน แถมกลิ่นของเครื่องยนต์อาจเข้าไปส่งกลิ่นรบกวนได้เช่นกัน

 

3. ที่จอดรถที่ดีควรเว้าเข้าฝั่งซ้ายของตัวบ้าน เพราะเป็นฮวงจุ้ยตำแหน่งมังกรเขียว ที่เชื่อว่าจะช่วยส่งเสริมชะตาของเจ้าของบ้าน

 

4. ทางเข้าควรเรียบเสมอตัวบ้าน ฮวงจุ้ยทางรถยนต์เข้าบ้านที่ดี ต้องเสมอกับตัวบ้าน ไม่ลาดเอียง เพราะเชื่อว่าจะทำให้เงินทองไม่รั่วไหล ถ้าพื้นที่ยิ่งกว้างก็จะยิ่งดี หากมีไฟสว่าง ปลูกดอกไม้ให้ความร่มรื่น จะทำให้โชคดี มีลาภ

 

5. ที่จอดรถต้องไม่เปิดโล่ง ควรปิดให้ทึบ เพื่อเก็บพลังงานดีๆ ไว้ แต่ต้องมีมีหน้าต่าง ช่องรับแสงหรือประตูให้เหมาะสม เพื่อให้อากาศภายในที่จอดรถถ่ายเท มีแสงสว่าง เพื่อความมั่งคั่ง และพลังงานดีๆ ไหลเวียนภายในที่จอดรถได้

 

 

 

อ่านบทความที่น่าสนใจ

อัพเดท : 3 พฤษภาคม 2566

เค.มอเตอร์ส มอบเงิน 2 ล้านบาท แก่มูลนิธิ รพ. เจริญกรุงประชารักษ์

เข้ากองทุน

สมทบทุนเพื่อผู้ป่วยโรคหัวใจ….
โตโยต้า เค.มอเตอร์ส นำโดยคณะผู้บริหารระดับสูง ร่วมมอบเงิน 2 ล้านบาท สมทบทุน มูลนิธิโรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์ เพื่อผู้ป่วยโรคหัวใจ ณ อาคาร 72 พรรษา โรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์ ในวันที่ 3 พฤษภาคม 2566….

เค.มอเตอร์สเค.มอเตอร์ส

 

บริษัท โตโยต้า เค.มอเตอร์ส ผู้จำหน่ายโตโยต้า จำกัด โดย คุณจิรเดช สมภพรุ่งโรจน์ คุณกนก สมภพรุ่งโรจน์ และคุณชัยพร สมภพรุ่งโรจน์ รองกรรมการผู้จัดการ มอบเงิน จำนวน 2 ล้านบาท สมทบกองทุนมูลนิธิโรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์ เพื่อผู้ป่วยโรคหัวใจ โดยมี นายแพทย์พรเทพ แซ่เฮ้ง ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์ พร้อมด้วยคุณเศรษฐฤกษ์ ดาวอรุณ รองผู้อำนวยการ แพทย์หญิงณัฏฐ์ชญาธิปก์ กิตติจำเริญ แพทย์อายุรศาสตร์โรคหัวใจ และคุณนิตยา ศักดิ์สุภา หัวหน้าฝ่ายการพยาบาล เป็นผู้รับมอบ ณ อาคาร 72 พรรษา โรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์

 

อัพเดท : 2 พฤษภาคม 2566

ความหมายของ สัญญาณไฟหน้าปัดรถ แจ้งเตือน

ไสัญลักษณ์ไฟ

แจ้งเตือน กำลังบอกอะไร อันตรายหรือไม่…
เมื่อสัญลักษณ์ไฟแจ้งเตือนบนหน้าปัดรถยนต์แสดงขึ้น กำลังบ่งบอกว่าระบบนั้นๆ กำลังทำงาน ซึ่งไฟเตือนนั้นมีหลายสี บางสีหมายถึงระบบกำลังทำงานปกติ แต่บางสีก็แจ้งเตือนว่ารถคุณกำลังมีปัญหา ฉะนั้นควรรู้ไว้ว่า “ไฟเตือนแต่ละสี” มีอะไร และกำลังเกิดอะไรคุณกับรถของคุณ

เชื่อว่าหลายๆ คนที่ขับรถส่วนใหญ่ มักจะดูแผงหน้าปัดรถยนต์ ดูสัญลักษณ์หน้าปัดเป็นแค่เข็มวัดความเร็วกับน้ำมันเท่านั้น แบบนี้ไม่ดีเลย ต้องรีบปฏิวัติตัวเองใหม่ให้เป็นคนที่ใส่ใจและรอบรู้ในทุกๆด้าน เพราะเรื่องรถยิ่งรู้มาก ยิ่งขับขี่ปลอดภัยมากขึ้น ปัญหาต่างๆ จะน้อยลง ฉะนั้นเรามาดูกันดีกว่าว่า สัญญาณไฟหน้าปัดรถ มีอะไร แต่ละอันบ่งบอกอะไรได้บ้าง

 

ปัญหาของ “สัญญาณไฟหน้าปัดรถยนต์” ขึ้นเตือน ถือว่าเป็นอีกหนึ่งปัญหาที่เจอกันบ่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นมือใหม่หัดขับหรือผู้มากประสบการณ์ในการขับขี่ ก็ยังไม่ค่อยรู้จักสัญลักษณ์ต่างๆ กันสักเท่าไหร่

 

ความหมายของ ไฟหน้าปัดรถ แต่ละสี

สัญลักษณ์ที่มีสีเขียว หมายถึง อุปกรณ์มีการเปิดใช้งาน หรือ กำลังทำงานอยู่

สัญลักษณ์ที่มีสีส้ม หรือสีเหลือง แสดงว่ากำลังมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นกับระบบเครื่องยนต์ ให้ทำการตรวจสอบ การทำงานตามความเหมาะสม

สัญลักษณ์ที่มีสีแดง หมายความว่าอันตรายให้หยุดการขับขี่ และทำการตรวจสอบโดยเร็ว

 

ต่อมาเรามาทำความรู้จักกับสัญลักษณ์ต่าง ๆ บน แผงหน้าปัดรถยนต์ กันดีกว่าครับ….

 

1.สัญญาณไฟเลี้ยว / ไฟกระพริบฉุกเฉิน

 

สัญลักษณ์ไฟเลี้ยวทั้งสองจะกะพริบเมื่อมีการใช้ไฟกะพริบฉุกเฉิน ซึ่งจะอยู่ด้านหน้าของรถที่เป็นหลอดสีส้ม เป็นสัญญาณบอกว่าต้องการเปลี่ยนทิศทางหรือไปด้านไหน หรือแม้กระทั่งการเปิดไฟกระพริบเมื่อเราต้องการให้สัญญาาณไฟฉุกเฉินก็ได้เช่นกันครับ

 

2.ไฟแสดงไฟตัดหมอกหน้า

 

ารใช้ไฟตัดหมอก จะใช้เมื่อทัศนวิสัยในการมองเห็นพื้นผิวของถนนไม่ชัดเจน เช่น ตอนมีหมอกบนพื้นถนนในช่วงฤดูหนาว หรือเมื่อเราขับขี่รถยนต์ตอนฝนตกหนัก ไฟตัดหมอกจะช่วยให้เรามองเห็นทางข้างหน้าระยะใกล้ได้ดีขึ้น

 

3.ไฟเตือนระบบเบรก

 

สัญญาณไฟหน้าปัดรถ ที่เตือนระบบเบรก มักเกิดขึ้นใน 2 กรณี ได้แก่ เมื่อมีการดึงเบรกมือ และลดเบรกมือยังไม่สุด ซึ่งสัญลักษณ์นี้จะมีไฟแจ้งเตือนขึ้นมา แต่ถ้าหากว่าคุณลดเบรกมือลงแล้ว ยังมีไฟขึ้นอยู่ อาจจะท่าไม่ดีแล้วครับ ต้องรีบตรวจสอบระบบเบรกรถของคุณโดยเร็ว โดยวิธีการเช็คอันดับแรกก็คือต้องดูระดับน้ำมันเบรก เพราะส่วนใหญ่สัญลักษณ์มักจะแจ้งเตือนเมื่อน้ำมันเบรกลดลงต่ำกว่าระดับปกติครับ แต่ในรถยนต์บางรุ่นจะแยกระหว่างระบบเบรกกับเบรกมือออกจากกัน ระบบเบรกจะเป็นเครื่องหมายตกใจ ส่วนเบรกมือเป็นตัว P ครับ เพื่อทำความเข้าใจในความแตกต่างให้มากขึ้น ขอแนะนำว่าให้อ่านและศึกษาข้อมูลจากคู่มือประจำรถแต่ละคันให้ละเอียดก่อนใช้รถครับ

 

4.ไฟเตือนประตูเปิด

 

จงรู้ไว้เลยว่าถ้ามีสัญญาณไฟรูปรถยนต์ที่มีบานประตูทั้ง 4 เปิดค้าง นั่นแสดงว่ารถของคุณอาจมีประตูใดประตูหนึ่งที่ยังไม่ปิด หรือปิดแล้วแต่ยังปิดไม่สนิท ควรตรวจสอบและปิดใหม่อีกครั้งครับ โดยสัญลักษณ์เตือนการปิดประตูไม่สนิท จะมีขั้นตอนดังนี้ครับ

-หากขับรถที่ความเร็วต่ำกว่า ประมาณ 7 กม./ชม. สัญลักษณ์แสดงข้อมูลจะสว่างขึ้น

-หากขับรถที่ความเร็วสูงกว่า ประมาณ 7 กม./ชม. สัญลักษณ์เตือนจะสว่างขึ้น

-หากฝากระโปรงหลังและประตูท้ายปิดไม่สนิท สัญลักษณ์เตือนจะสว่างขึ้นพร้อมกับการแสดงภาพอธิบายขึ้นในจอแสดงข้อมูล ควรหยุดรถในที่ปลอดภัยโดยเร็วที่สุด และปิดฝากระโปรงหลังประตูท้ายให้สนิทครับ

 

5.ไฟเตือนการชาร์จไฟ

 

เมื่อมีสัญญาณไฟรูปแบตเตอรี่ขึ้นมา ไม่ได้หมายความว่าแบตเตอรี่ในรถของคุณเสื่อมหรือถึงเวลาต้องเปลี่ยนตัวใหม่นะครับ แต่มันกำลังแจ้งเตือนว่าการทำงานของไดร์ชาร์จทำงานผิดปกติ หากเจอสัญลักษณ์นี้ แต่คุณยังคงขับรถยนต์ต่อไป ระบบไฟฟ้าในรถยนต์จะอ่อนตัวลงเรื่อย ๆ การทำงานของวิทยุก็จะติด ๆ ดับ ๆ แรงลมของแอร์เบาลง และไฟหน้าจะค่อย ๆ หรี่ลงจนเครื่องยนต์ดับไปในที่สุด ซึ่งคาดเดาไว้ว่าอาจเกิดจาก 2 สาเหตุนี้

 

5.1.ไดชาร์จเสีย

ไดชาร์จทำหน้าที่ผลิตกระแสไฟฟ้าป้อนให้ระบบไฟในรถยนต์และชาร์จแบตเตอรี่ไปในตัว เมื่ออยู่ ๆ มันเกิดไม่ผลิตกระแสไฟฟ้าให้ระบบรถอย่างเช่นปกติ ระบบไฟในรถยนต์จึงต้องดึงไฟจากแบตเตอรี่ไปใช้งานแทน จากนั้นเมื่อแบตหมดระบบต่าง ๆ ภายในรถก็จะหยุดทำงาน

 

5.2.สายพานไดชาร์จขาด

หากสายพานไดชาร์จขาด ต้องรีบจอดรถในที่ปลอดภัยเพื่อลงมาตรวจดูสายพานเป็นอย่างแรกก่อนครับ

 

6.ไฟเตือนการคาดเข็มขัดนิรภัย

 

เมื่อมีการสตาร์ทรถ แต่คนขับยังไม่ใส่เข็มขัดนิรภัย สัญลักษณ์นี้จะกระพริบแจ้งเตือนขึ้นมาทันที ทั้งนี้ก็เพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้ผู้ขับขี่ และไฟเตือนจะดับลงเมื่อมีการใส่เข็มขัดนิรภัยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ในรถบางรุ่นไม่ได้มีแค่สัญลักษณ์เตือนเท่านั้นนะครับ แต่จะเพิ่มเสียงไปด้วยเพื่อสร้างความรำคาญใจ จนคุณต้องยอมใส่เข็มขัดนิรภัย แถมบางรุ่นยังทำในส่วนของที่นั่งข้างคนขับด้วย

 

7.ไฟแสดงเครื่องยนต์ทำงานผิดปกติ (MIL)

 

หากสัญญาณไฟรูป “เครื่องยนต์” ขึ้นมาเมื่อไหร่ นั่นหมายความว่า “มีเรื่องแล้ว” เพราะแสดงว่าเครื่องยนต์ของรถคุณกำลังมีปัญหา เรียกได้ว่าปัญหาครอบจักรวาลที่ไม่อาจรู้ได้เลยทีเดียว เนื่องจากไฟแสดงเครื่องยนต์ทำงานผิดปกติ ที่ไม่บ่งชี้ว่าเป็นจุดไหน จึงหาทางแก้ไขด้วยตนเองได้ยาก เช่น ค่าออกซิเจนผิดปกติ สายพานเกินระยะกำหนด หรือ ตัว ECU มีปัญหา และอื่น ๆ อีกมากมาย เมื่อเห็นสัญลักษณ์นี้ขึ้นมาจึงไม่ควรปล่อยทิ้งไว้ ต้องรีบนำเข้าศูนย์บริการทันทีครับ โดยทางช่างเขาจะทำการเสียบอุปกรณ์กับช่อง OBD (On-Board Diagnostics) ซึ่งจะมีค่า Error แจ้งมา จึงจะสามารถรู้ได้ว่าเครื่องยนต์มีปัญหาตรงส่วนไหน อย่างไรก็ตามเมื่อสัญญาณนี้โชว์ไฟขึ้นแม้รถส่วนใหญ่จะยังทำงานได้ปกติ แต่ในบางรุ่น (โดยเฉพาะรถทางฝั่งยุโรป) จะจำกัดความเร็วไม่เกิน 60 กม./ชม. เพื่อให้ผู้ขับขี่สามารถนำรถเข้าตรวจสอบที่ศูนย์บริการได้ทันท่วงที และเพื่อป้องกันไม่ให้เครื่องยนต์เสียหายมากกว่าเดิมครับ

 

8.ไฟแสดงการใช้ไฟสูง

 

ในการขับขี่ทางไกลเป็นเวลานานมักต้องใช้ความเร็วสูง เช่น การขับรถไปต่างจังหวัดตอนกลางคืน มักมองเส้นทางไม่ชัดเจน จึงต้องระมัดระวังในการขับขี่มากขึ้น โดยเฉพาะทางโค้งและเลี้ยว การเปิดไฟสูงจะถูกใช้เมื่อต้องการมองเห็นล่วงหน้าทางไกล เพื่อจะได้ปรับลดความเร็วในระยะที่เรายังสามารถควบคุมรถได้อยู่ แต่ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ควรใช้ไฟสูงนะครับ เพราะจะเป็นการรบกวนการขับขี่ของคนอื่นได้ครับ

 

9.ไฟเตือนน้ำมันเชื้อเพลิงระดับต่ำ

 

เมื่อสัญญาณไฟรูปหัวจ่ายน้ำมันโชว์ขึ้นมา โปรดรู้ไว้ว่าน้ำมันเชื้อเพลิงรถของคุณกำลังเหลือน้อยลงทุกที จงเตรียมเงินและเริ่มมองหาปั๊มน้ำมันได้แล้ว เพราะรถของคุณจะวิ่งได้อย่างมากอีกประมาณ 50 กิโลเมตรเท่านั้น ฉะนั้นอย่าละเลยสัญญาณนี้เป็นอันขาดเลยครับ ถ้าไม่อยากรถยนต์ดับกลางทาง

 

10.ไฟอุณหภูมิหม้อน้ำ

 

ในปัจจุบันรถยนต์รุ่นใหม่ ๆ ไม่ได้มีมาตรวัดความร้อนหม้อน้ำมาให้แล้ว แต่คุณสามารถตรวจสอบการทำงานได้จากสัญญาณไฟหม้อน้ำ ซึ่งจะระบุได้ 2 สถานะ คือ

10.1.ไฟเตือนอุณหภูมิน้ำหล่อเย็นต่ำ คือ หม้อน้ำอยู่ในระดับที่เย็นกว่าปกติ จะขึ้นเป็นไฟสีน้ำเงินหรือสีฟ้า และเป็นรูปปรอทวัดความร้อนหม้อน้ำ เพื่อแจ้งเตือนว่าอุณหภูมิของเครื่องยนต์ในขณะนั้น กำลังอยู่ในช่วงของการวอร์มเครื่องยนต์ ยังไม่ควรเร่งเครื่องหรือขับขี่ด้วยความเร็วสูง โดยไฟเตือนจะติดจนกว่าอุณหภูมิของเครื่องยนต์จะสูงขึ้นจนถึงอุณหภูมิการทำงาน หลังจากนั้นจึงสามารถค่อย ๆ ออกตัวหรือขับขี่ไปเรื่อย ๆ ก่อนได้ แต่ยังไม่ควรใช้ความเร็วสูงมากนัก และเมื่อไฟเตือนดับลงจึงสามารถใช้ความเร็วได้ตามปกติครับ..

10.2.ไฟเตือนอุณหภูมิน้ำหล่อร้อนสูง คือ หม้อน้ำอยู่ในระดับร้อนสูงผิดปกติ ไฟจะเตือนเป็นสีแดง พร้อมรูปปรอทวัดความร้อนหม้อน้ำ สัญญาณไฟนี้จะโชว์ขึ้นเมื่อเครื่องยนต์มีความร้อนสูงเกินกว่าระดับอุณหภูมิทำงาน ซึ่งหมายความว่าอุณหภูมิของเครื่องยนต์มีระดับที่สูงกว่าระดับที่เครื่องยนต์จะทำงานได้ตามปกติ หากยังใช้อยู่อาจทำให้เครื่องยนต์เสียหายได้

สิ่งสำคัญที่ควรจำ คือ หากเกิดกรณีที่หม้อน้ำร้อนผิดปกติ ควรจอดรถโดยทันที เพื่อป้องกันความเสียหายกับระบบเครื่องยนต์ครับ

 

11.ไฟเตือนระบบเบรกแบบป้องกันล้อล็อค (ABS)

 

สาเหตุที่สัญญาณไฟหน้าปัดนี้โชว์ขึ้นและดับไป อาจเกิดจากการนำรถไปขับลุยน้ำ ทำให้เซ็นเซอร์หรือระบบไฟฟ้าเกิดการลงกราวด์ พอแห้งแล้วไฟก็จะดับไปเอง หรือแม้กระทั่งขับบนถนนแห้ง ๆ ไฟเกิดติดขึ้นมา แล้วจู่ ๆ ก็หายไป ยิ่งควรนำรถเข้าอู่เพื่อตรวจเช็คโดยด่วนนะครับ นอกจากนี้ยังมีสาเหตุอื่น ๆ ที่ทำให้ ไฟเตือนระบบเบรกแบบป้องกันล้อล็อค ABS แสดงขึ้นมา เช่น ผ้าเบรกหมด หรือ ระดับน้ำมันเบรกต่ำกว่ากำหนด เป็นต้นครับ

ที่สำคัญระหว่างกำลังขับขี่รถ ถ้ามีสัญญาณไฟเตือนระบบเบรกแบบป้องกันล้อล็อก ABS ขึ้นมา ให้รีบจอดรถหรือนำรถเข้าเช็คโดยด่วน ถึงแม้ระบบเบรกจะยังทำงานอยู่ แต่เมื่อมีการเบรกกะทันหันระบบ ABS อาจจะไม่ทำงาน ซึ่งมีผลต่อความปลอดภัยของชีวิตและทรัพย์สินของคุณเป็นอย่างมาก

 

 

แม้สัญญาณไฟบนหน้าปัดรถจะมีเยอะแยะมากมายจนแทบจำกันไม่หมด แต่รู้จักไว้เป็นพื้นฐานก็จะดีมาก ๆ เลยครับ เพราะนั่นหมายความว่าการใช้รถของคุณจะปลอดภัยเพิ่มขึ้นกว่าที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย ฉะนั้นสัญญาณไฟบนหน้าปัดรถยนต์จึงไม่ควรละเลยกันนะครับ …เพื่อนๆสามารถนำรถมาตรวจสอบได้ที่ศูนย์บริการโตโยต้า เค.มอเตอร์ส ทั้ง 17 สาขา ได้เลยครับ หรือว่าจะโทรนัดหมายล่วงหน้าได้ที่ Call Center 02-662-6555 

 

 


เรื่องที่น่าสนใจอื่นๆ

อัพเดท : 22 เมษายน 2566

ขับรถลงเขา อย่างไรไม่ให้เบรกไหม้ !!

ระวังเบรก

ขึ้น-ลงเขา อย่างอย่างไรไม่ให้เกิดอุบัติเหตุ…
เมื่อขับรถลงเขาถ้าไม่เหยียบเบรกชะลอความเร็ว รถจะเกิดการไหลตามความชันของเขา ยิ่งชันมากก็ยิ่งไหลเร็ว จึงต้องเหยียบเบรกเพื่อชะลอความเร็วให้สามารถควบคุมรถได้ ทำให้เกิดความร้อนสะสมที่เบรก จนผ้าเบรกไหม้น้ำมันเบรกเดือด เกิดการเบรกไม่อยู่หรือเบรกแตกเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุได้

การ “ขับรถลงเขา” ที่ถูกต้อง ต้องทำอย่างไร?

 

  • รถเกียร์ธรรมดาให้ใช้เกียร์ต่ำ เกียร์ 2 หรือ เกียร์ 1
  • รถเกียร์อัตโนมัติ ใช้ตำแหน่งเกียร์ D2 ,D1 ,S, L
  • รถเกียร์ CVT ใช้ตำแหน่งเกียร์ S,B
  • รถไฮบริดใช้ตำแหน่งเกียร์ B

เพื่อช่วยชะลอรถหรือที่เรียก Engine Brake ลดการทำงานของเบรกลงไม่ให้ร้อนเกินไป

 

** ห้ามใส่เกียร์ว่าง (เกียร์ N) เป็นอันขาดเพราะรถจะไหลลงเขาด้วยความเร็วสูง ทำให้เสี่ยงเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย ให้แตะเบาๆ เป็นจังหวะ อย่าเหยียบเบรกค้างไว้เพราะจะทำให้ผ้าเบรกไหม้ได้ แต่ให้ใช้การปรับตำแหน่งเกียร์ตามความชันแทน ซึ่งจะช่วยให้ไม่ต้องเหยียบเบรกอยู่ตลอดเวลา รักษาระดับความเร็วอยู่ในระดับที่สามารถควบคุมรถได้อย่างปลอดภัย
เมื่อได้กลิ่นผ้าเบรกไหม้ ควรจอดรถดู ยิ่งถ้าควันขึ้นที่เบรกก็ควรพักรถ จนกว่าเบรกจะเย็นลง ถ้าระยะทางยาวมากๆ ก็ควรพักรถเป็นระยะ

 

ข้อควรระวังในการขับรถลงเขา

 

  • ระมัดระวังทางโค้งให้ดี 

ในขณะขับขี่บนทางขึ้น-ลงเขา ไม่ความใช้ความเร็ว ไม่ขับจี้ท้ายคันหน้า และในกรณีทางโค้งควรระมัดระวังเป็นพิเศษ แนะนำให้บีบแตรเพื่อให้สัญญาณเผื่อมีรถสวนเลนก็ดี ไม่ขับเข้าโค้งกินเลน เพราะอาจเกิดอุบัติเหตุชนกับรถที่จะสวนทางมาได้

 

  • ไม่ควรขับแซงระหว่างทางโค้ง

อันตรายสุดๆ หากจะขับแซงบนทางโค้ง เพราะนอกจากจะใช้แรงในการควบคุมทิศทางที่มากขึ้น และอาจแซงไม่พ้นได้ ยิ่งถ้าไม่ชำนาญเส้นทาง ก็ยิ่งห้ามแซง เพราะอาจเฉี่ยวชนกับรถคันที่วิ่งสวนทาง หรืออาจจะหลุดโค้งได้

 

สายพานสายพาน

 

 


เรื่องที่น่าสนใจอื่นๆ