อัพเดท : 19 กรกฎาคม 2566

รถไม่ได้ขับนานๆ จะเกิดอะไรขึ้น ?

หมั่นดูแล

เพื่อไม่ให้เครื่องยนต์เสื่อมสภาพไว…
การจอดรถทิ้งไว้นานๆ อาจทำให้รถยนต์เกิดปัญหาต่างๆ ได้ เพราะเมื่อรถไม่ได้ใช้งานก็เหมือนกับการรอเวลาให้สภาพเครื่องยนต์มันเสื่อมและชำรุดไปตามกาลเวลา ดังนั้นหากไม่ได้ใช้งานรถ แต่ก็ควรดูแลรถยนต์บ้าง เพื่อทำการดูแลรักษาเครื่องยนต์ไม่ให้เสื่อมสภาพนั่นเอง

รถไม่ได้ขับนานๆ

รถไม่ได้ขับนานๆ จะเกิดอะไรขึ้น ?

1. รถสตาร์ตไม่ติด ถ้าจอดไว้เกิน 10 วัน ไม่มีการสตาร์ตเครื่องยนต์ให้มีการชาร์จไฟเข้าแบตเตอรี่ อาจทำให้แบตเตอรี่ไฟอ่อนและสตาร์ตไม่ติด

2. ยางรถยนต์ ถ้าไม่มีการขยับรถยางรถยนต์จะเสียรูปเป็นจุดแบนที่หน้ายาง จากน้ำหนักรถที่กดลงหน้ายางเพียงจุดเดียว จึงควรเติมลมยางให้สูงกว่าปกติเมื่อจะจอดรถไว้นานๆ

3. น้ำมันเสื่อมสภาพ น้ำมันต่างๆ ที่มีอยู่ในรถ ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันเครื่อง,น้ำมันเกียร์,น้ำมันเฟืองท้าย,น้ำมันเบรก,น้ำมันพวงมาลัยเพาเวอร์จำเป็นต้องเปลี่ยนตามกำหนด เช่น น้ำมันเครื่องต้องเปลี่ยนทุกๆ 6 เดือน แม้ไม่ได้ขับรถเลยก็ตาม

4. เสี่ยงที่จะกลายเป็นที่อาศัยของสัตว์ เช่น หนูที่เข้าไปทำรัง

5. สภาพรถเสื่อมโทรม เมื่อไม่ได้ขับ ทำให้ไม่ได้ล้างไม่ได้บำรุงรักษา ทำให้รถเกิดการเสื่อมโทรมได้ง่าย

รถจอดทิ้งไว้นานๆ ควรเช็กอะไรบ้าง ?

กรณีสำหรับรถที่จอดรถทิ้งไว้ประมาณ 1 สัปดาห์/1 เดือน 

– ตรวจสอบระดับน้ำกลั่นสตาร์ตเครื่องยนต์ครั้งละ 15-20 นาที ทำทุกสัปดาห์ เพื่อให้แบตเตอรี่มีการชาร์จพลังงาน
– เติมลมยางเพิ่มอีก 2-3 ปอนด์/ตารางนิ้ว เช่นค่ามาตรฐาน 32 ก็เพิ่มเป็น 34 เป็นต้น
– ตรวจสอบความเรียบร้อยของรถ รอบคันว่าปกติพร้อมใช้งานหรือไม่

กรณีจอดรถทิ้งไว้หลายเดือน

– ต้องเติมลมยางเพิ่มไปอีกเป็น 40-50 ปอนด์/ตารางนิ้ว เพื่อรักษาโครงสร้างของยางไม่ให้เสียรูปทรง
– ตรวจสอบของเหลวและเติมให้อยู่ในระดับสูงสุดที่กำหนด เช่น ระดับน้ำมันเคริ่อง น้ำมันเบรก น้ำมันเกียร์- เฟืองท้ายและน้ำมันเพาเวอร์
– ทำการถอดขั้วแบตเตอรี่ออกเพื่อป้องกันการคลายประจุ และเมื่อจะกลับมาใช้งานอีกครั้งก็ต้องตรวจสอบของเหลวต่างๆ เช่น น้ำมันเครื่องอยู่ในระดับปกติหรือไม่ เช็กลมยางว่าอยู่ในระดับที่กำหนด ถ้าสูงก็ปล่อยลมออก ถ้าต่ำก็เติมลมเพิ่ม จากนั้นจึงใส่ขั้วแบตเตอรี่ (ถ้าจอดนานแบตเตอรี่อาจจะหมดจะต้องพ่วงแบตเตอรี่เพื่อสตาร์ต) และสตาร์ตเครื่องยนต์ให้ทำงาน 15-20 นาที ก่อนจะนำรถไปใช้งาน

สายพานสายพาน

เรื่องที่น่าสนใจอื่นๆ

อัพเดท : 11 กรกฎาคม 2566

จอดรถติดไฟแดง เข้าเกียร์ไหนดีสุด?

ใช้ให้ถูก

ช่วยถนอมเกียร์และขับขี่ปลอดภัย…
เวลาจอดรถติดไฟแดง ควรเข้าเกียร์ไหนถึงจะดีที่สุด? ไม่ต้องเปลี่ยนเกียร์ ใช้เกียร์ D หรือเกียร์ N เกียร์ P ดีล่ะ!! ซึ่งจริงๆ แล้ว การใช้เกียร์ไหนนั้น ขึ้นอยู่กับว่าเป็นรถอะไร หรือระยะเวลาที่รถจอดติดไฟแดงนั้น มากน้อยขนาดไหนนั่นเอง

จอดรถติดไฟแดง เข้าเกียร์ไหนดีสุด?

รถเกียร์ธรรมดา 

ให้เข้าเกียร์ว่างแล้วเหยียบเบรกร่วม ถ้าไม่เหยียบก็ให้ดึงเบรกมือขึ้น แต่ไม่ควรเข้าเกียร์แล้วเหยียบคลัตช์ไว้ เพราะจะทำให้ลูกปืนกดคลัตช์เกิดความเสียหายเร็วขึ้น

รถเกียร์อัตโนมัติ  

ให้เข้าเกียร์ N หรือ D

– ถ้าติดไฟแดงไม่เกิน 1 นาที ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนเกียร์ สามารถใช้เกียร์ D เหมือนเดิม แล้วเหยียบเบรกค้างไว้ก็พอ

– ถ้าติดไฟแดงนาน 1 – 3 นาที แนะนำให้เข้าเกียร์ N แล้วดึงเบรกมือเอาไว้ เนื่องจากการเข้าเกียร์ D แล้วเหยียบเบรกค้างไว้นาน จะทำให้เกิดความร้อนสะสมที่ชุดเกียร์ อาจทำให้เกียร์เกิดการสึกหรอเร็วขึ้น เครื่องยนต์พร้อมออกตัวอยู่ตลอดเวลาทำให้เปลืองน้ำมัน หรือเวลาที่ขยับตัวอาจทำให้เท้าหลุดจากเบรกได้ เสี่ยงที่รถจะไหลไปชนคันข้างหน้า

และไม่ควรเข้าเกียร์ P เพราะว่า เกียร์ P จะใช้สำหรับการจอดรถที่ดับเครื่องยนต์แล้วเท่านั้น โดยจะมีกลไกล็อกเกียร์ทั้งหมดไม่ให้รถเคลื่อนที่ได้ ดังนั้น การเข้าเกียร์ P ตอนติดไฟแดง หากโดนชนท้ายจะทำให้ระบบเกียร์เกิดความเสียหายได้
และ ในรถบางรุ่นเวลาเข้าเกียร์ P ยังเป็นการปลดล็อกประตูทั้งหมดด้วย อาจไม่ปลอดภัยหากมีมิจฉาชีพหรือมีผู้ไม่หวังดีขึ้นรถมาได้

 

การจอดรถบนทางลาดชันที่ถูกวิธี  คือ ให้เหยียบเบรก เพื่อไม่ให้รถไหล จากนั้นใส่เกียร์ N และดึงเบรกมือขึ้นจนสุด ค่อยๆ ปล่อยเท้าออกจากแป้นเบรก ดูว่ารถยังไหลได้หรือไม่ แล้วแตะเบรกและดึงเบรกมือให้สุดอีกครั้งจนรถไม่มีการไหล พร้อมใส่เกียร์ P ดับเครื่องยนต์ เพื่อความปลอดภัยแนะนำให้นำก้อนหินมารองหลังล้อไว้

 

 

สายพานสายพาน

 

 

เรื่องที่น่าสนใจอื่นๆ

อัพเดท : 19 มิถุนายน 2566

บูชคันเกียร์ต้องกี่กิโลเมตร ถึงต้องเปลี่ยน??

เช็กอย่างไร

สังเกตได้อย่างไรว่าต้องเปลี่ยนแล้ว….
บูชคันเกียร์ คืออะไร บูชเกียร์คืออุปกรณ์ที่ช่วยล็อกให้เกียร์อยู่ในตำแหน่งที่ต้องการ ซึ่งหากบูชเกียร์มีลักษณะแตก หรือหลวม ก็จะทำให้เกิดปัญหาการเข้าเกียร์ยากได้

บูชคันเกียร์ ต้องกี่กิโลเมตร ถึงต้องเปลี่ยน??

ขึ้นอยู่กับสภาพการใช้งาน ส่วนใหญ่เมื่อเกิน 100,000 กิโลเมตร หรือเกิน 5 ขึ้นไป สมควรต้องเปลี่ยนแล้ว หรือถ้ายังไม่เปลี่ยนต้องพยามสังเกตความผิดปกติของคันเกียร์ว่ามีการเปลี่ยนแปลงไปจากที่เคยใช้งานอยู่เป็นประจำหรือไม่

 

วิธีสังเกตอาการบูชคันเกียร์ผิดปกติ คือ

1. คันเกียร์มีการหลวมหรือคลอนตัว โยกไปมาได้มากกว่าปกติ
2.สำหรับรถเกียร์อัตโนมัติก็ให้สังเกตจากตำแหน่งคันเข้าเกียร์กับไฟแสดงตำแหน่งเกียร์ที่หน้าปัด ถ้าเริ่มมีการคลาดเคลื่อน ต้องรีบทำการเปลี่ยนบูชคันเกียร์

 

บูชคันเกียร์เสื่อมสภาพ อาจเกิดอาการเกียร์หลุดได้!!

หากบูชคันเกียร์เสื่อมสภาพจะทำให้ไม่สามารถเปลี่ยนเกียร์ไปตำแหน่งอื่นๆได้
สำหรับอาการเกียร์หลุดในเกียร์ธรรมดา ส่วนใหญ่จะหลุดจากตำแหน่งเกียร์ที่ขับเคลื่อนไปยังตำแหน่งเกียร์ว่าง
ส่วนอาการเกียร์หลุดในเกียร์ออโต้ ชุดเกียร์จะค้างเข้าเกียร์ถอยหลัง แม้จะเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์ แต่รถก็ยังถอยหลัง

***อาการเหล่านี้ส่วนใหญ่จะเกิดกับรถยนต์ที่มีอายุการใช้งานนาน

 

เมื่อรถเกิดอาการเกียร์หลุดควรทำอย่างไร?

1. ตั้งสติ อย่าตื่นตระหนก
2. ห้ามดึงเบรกมือเด็ดขาด เพราะจะทำให้รถเกิดความเสียหายมากขึ้น
3. เปิดสัญญาณไฟฉุกเฉิน ขับรถให้ชิดขอบทาง เลี่ยงจอดรถทางลาดชัน
4. เหยียบเบรกให้รถจอดสนิท และเหยียบค้างไว้
5. ผลักคันเกียร์ไปที่ตำแหน่ง P และดับเครื่องทันที
6. รีบนำรถเข้าศูนย์บริการ เพื่อตรวจสอบ

 

สายพานสายพาน

 

 

เรื่องที่น่าสนใจอื่นๆ

อัพเดท : 13 มิถุนายน 2566

สัญลักษณ์ เกียร์ออโต้ ที่ต้องรู้!

ใช้แบบไหน

เติมน้ำมันผสมกันส่งผลอย่างไรกับเครื่องยนต์…
มาทำความรู้จักกับเกียร์ออโต้ (Auto) ว่าเกียร์ไหนมีความหมายอย่างไรบ้าง และใช้งานยังไงเหมาะสำหรับใช้ในสถานการณ์ไหน พร้อมแนะนำเทคนิคและข้อควรระวังเมื่อใช้เกียร์ออโต้ ถ้าไม่อยากให้รถของคุณเกียร์พังก่อนเวลาอันสมควร…

สัญลักษณ์ เกียร์ออโต้ แต่ละตัว ใช้งานอย่างไร ?

 

P – Parking เกียร์สำหรับจอกแบบล็อกล้อ หากจอดที่ลาดชันให้ใช้ร่วมกับการตึงเบรกมือ

P ย่อมาจาก Parking เป็นเกียร์ที่อยู่ตำแหน่งบนสุด จะใช้เวลาจอดรถ เช่น จอดรถในที่จอดรถ จอดในที่ลาดชัน ซึ่งต้องเป็นการจอดรถที่นิ่งสนิท ไม่เคลื่อนที่ไปไหน หากจอดในที่ต้องเคลื่อนที่ ไม่ควรใช้เกียร์ P แนะนำให้ใช้เกียร์ว่างแทน เพื่อให้คนอื่นสามารถเลื่อนรถเราได้

 

R- Reverse เกียร์ถอยหลัง ตัวรถจะถอยเองช้าๆ ไม่จำเป็นต้องเหยียบคันเร่ง

ขยับลงมาอีก 1 เกียร์ คือ เกียร์ R ย่อมาจาก Reverse ที่แปลว่าถอยหลัง แน่นอนอยู่แล้วว่าเกียร์นี้ต้องใช้เวลารถจะถอยหลังนั่นเอง เช่น ถอยหลังช้าๆ ถอยเข้าซอง ถอยออกจากซอง เป็นต้น วิธีใช้ให้ใส่เกียร์ R แล้วถอยช้าๆ ไม่จำเป็นต้องเหยียบคันเร่ง แต่เพื่อความปลอดภัยควรเหยียบเบรกไว้เสมอเวลาที่ขับรถถอยหลัง

 

N – Neutral เกียร์ว่าง สำหรับจอดรถแบบชั่วคราว จอดติดไฟแดง จอดริมทางสามารถเข็นเคลื่อนย้ายได้

เกียร์ N มาจาก Neutral คือ เกียร์ปกติที่ยังไม่ได้เข้าเกียร์ใดๆ จะใช้ต่อเมื่อต้องการจอดรถไว้ชั่วคราวเท่านั้น เช่น รถติดไฟแดง หรือการจอดรถในกรณีที่ต้องจอดขวางรถคนอื่น เพื่อให้สามารถเข็นได้

 

D – Drive เกียร์เดินหน้า เน้นการขับในเส้นทางราบ

D มาจากคำว่า Drive แปลว่าขับ ซึ่งเกียร์นี้จะใช้เพื่อขับรถเดินหน้า เมื่อเหยียบคันเร่ง เกียร์จะค่อยๆ เปลี่ยนลำดับขึ้นลงให้เองอัตโนมัติ เริ่มตั้งแต่เกียร์ 1 ไป จนถึงเกียร์ 4 เป็นเกียร์ที่ใช้งานบ่อย มักใช้ในการวิ่งเส้นทางราบเป็นหลัก

เกียร์ D3 จะใช้ในกรณีที่ขับรถอยู่บนถนนที่มีความลาดชันน้อย เช่น ขึ้นสะพาน หรือใช้ในกรณีต้องเร่งเครื่องแซงเพื่อให้รถมีกำลังมากขึ้นพอที่จะแซงคันข้างหน้าได้
เกียร์ D2 หรือเกียร์ 2 ใช้เวลาขับรถขึ้น-ลงเขา หรือขับขึ้นลานจอดรถในห้าง โดยมักใช้กับถนนที่มีความลาดชัน เป็นต้น

 

S – Sport เกียร์สำหรับเร่งแซง หรือขับขึ้นทางชัน ตอบสนองอัตราเร่งได้ดีเกียร์จะเปลี่ยนช้าลง ได้รอบที่สูงขึ้น
เกียร์ S หรือ เกียร์Sport มักจะมีให้ในรถยนต์ออโต้รุ่นใหม่ๆ เกียร์นี้จะช่วยให้เปลี่ยนอัตราทดเกียร์ช้าลง เครื่องยนต์ลากรอบมากกว่าปกติ รถจะมีกำลังมากขึ้นในยามจำเป็น ไว้ใช้สำหรับเร่งแซง

 

L – Low (หรือ D1) เกียร์ต่ำ ใช้ขับขึ้นลงทางชัน เช่น ขึ้นภูเขา ลาดจอดรถ
เกียร์ D1 หรือเกียร์ L หรือเกียร์ต่ำ สำหรับใช้ขับในกรณีขับรถขึ้นภูเขา ลาดชันสูง รวมไปถึงการลงเขา รถจะใช้ความเร็วต่ำ เพื่อลดการเหยียบเบรก ลดการสิ้นเปลืองผ้าเบรก ให้ความปลอดภัยได้มากกว่า ไม่แนะนำให้เปลี่ยนเกียร์ L กะทันหันทันทีที่รถขับมาเร็ว ๆ

 

ข้อควรระวังสำหรับการใช้เกียร์ออโต้

  1. ก่อนเปลี่ยนเกียร์ควรเหยียบเบรกก่อนทุกครั้ง
  2. ควรเช็กตำแหน่งเกียร์ก่อนการออกตัวและหลังจากหยุดรถทุกครั้ง
  3. ห้ามออกตัวแบบกระชากรุนแรง
  4. ไม่เข้าเกียร์ว่างขณะรถวิ่ง เช่น ขณะลงเขา
  5. อย่าคิกดาวน์เพื่อเร่งแซงบ่อย ๆ

 

สายพานสายพาน

 

 

เรื่องที่น่าสนใจอื่นๆ

อัพเดท : 24 พฤษภาคม 2566

เติมน้ำมัน 95 แล้วเติม 91 ผสมน้ำมันเดิมได้ไหม?

เสียหายไหม

เติมน้ำมันผสมกันส่งผลอย่างไรกับเครื่องยนต์…
การเติมน้ำมันผสมหรือสลับกันได้หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับรถยนต์แต่ละคัน ซึ่งสามารถดูได้ขากคู่มือรถยนต์นั้นๆ การเติมน้ำมันผสมหรือสลับกันไม่ส่งผลกระทบอะไรกับเครื่องยนต์ เพราะรถรุ่นใหม่ได้ออกแบบเครื่องยนต์ให้สามารถรองรับได้อยู่แล้ว แต่ช่างไม่แนะนำให้ทำบ่อยๆ เพราะในระยะยาวอาจส่งผลต่อเครื่องยนต์ได้เช่นกัน

เติมน้ำมัน 95 แล้วเติม 91 ผสมน้ำมันเดิมได้ไหม?


เติมได้หรือไม่ได้ ขึ้นอยู่กับว่าคู่มือการใช้รถระบุไว้อย่างไร เช่น…

 

ถ้าคู่มือระบุว่ารองรับน้ำมันที่มีค่าออกเทนตั้งแต่ 95 ขึ้นไปเท่านั้น = รถคันนี้เติมได้แค่ แก๊สโซฮอลล์ 95 แก๊สโซฮอลล์ E20 และเบนซิน 95 แต่ไม่สามารถเติมแก๊สโซฮอลล์ 91 ที่มีค่าออกเทนเพียง 91 ได้ รวมถึงแก๊สโซฮอลล์ E85 แม้จะเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับรถเครื่องยนต์เบนซินก็ตาม

 

ถ้าคู่มือระบุว่า เติมน้ำมันแก็สโซฮอลล์ 91 หรือสูงกว่า สามารถเติมผสมได้ ทั้งเบนซิน 91 เบนซิน 95 แก๊สโซฮอลล์ 91 แก๊สโซฮอลล์ 95 รวมถึงแก๊สโซฮอลล์ E10 หรือ E20 ยิ่งถ้าระบุที่คู่มือไว้ว่า ใช้แก๊สโซฮอลล์ E85 หรือสูงกว่า ที่เป็นน้ำมันเบนซิน สามารถเติมผสมกันได้ทุกชนิดยกเว้นดีเซล

 

คำเตือน

 

แม้ว่าการเติมผสมกันจะไม่ส่งผลเสียหายร้ายแรงต่อเครื่องยนต์ แต่ช่างไม่แนะนำให้เติมผสมกันหรือสลับกันไปมาบ่อยๆ เพราะอาจส่งผลให้เครื่องยนต์เกิดการเปลี่ยนแปลงได้เล็กน้อย ทางที่ดีควรเติมน้ำมันให้ถูกประเภท และศึกษาข้อมูลให้ดีก่อนว่ารถยนต์สามารถรองรับน้ำมันเชื้อเพลิงประเภทไหนได้บ้าง ป้องกันการเติมผิดจนส่งผลเสียหายต่อเครื่องยนต์ได้ครับ

 

แก๊สโซฮอล์ 91 และ95 แตกต่างกันอย่างไร?

 

– แก๊สโซฮอล คือ การเอาน้ำมันเบนซินพื้นฐานผสมกับแอลกอฮอลล์

– น้ำมันแก๊สโซฮอล 91คือ น้ำมันเชื้อเพลิงที่ ซึ่งเกิดจากการนำน้ำมันเบนซินไร้สารตะกั่ว หรือน้ำมันเบนซินออกเทน 91 ไปผสมกับ เอทานอล หรือเอทิแอลกอฮอล์ (แอลกอฮอล์บริสุทธิ์ 99.5%) ในอัตราส่วน 10 % เกิดเป็นน้ำมันแก๊สโซฮอลออกเทน 91 น้ำมันมีสีเขียว ที่ยังคงไว้ซึ่งคุณสมบัติการใช้งานแบบเดิม เช่นเดียวกับน้ำมันเบนซินออกเทน 91

– น้ำมันแก๊สโซฮอล 95คือ น้ำมันเชื้อเพลิงที่เกิดจากการนำน้ำมันเบนซินไร้สารตะกั่ว หรือน้ำมันเบนซินออกเทน 95ไปผสมกับ เอทานอล หรือเอทิแอลกอฮอล์ (แอลกอฮอล์บริสุทธิ์ 99.5%) ในอัตราส่วน 10 % ทดแทนสาร Methyl Tertiary Butyl Ether (MTBE) ได้เป็นน้ำมันแก๊สโซฮอลออกเทน 95 น้ำมันมีสีส้ม ที่ยังคงไว้ซึ่งคุณสมบัติการใช้งานแบบเดิม เช่นเดียวกับน้ำมันเบนซินออกเทน 95

 

 

สายพานสายพาน

 

 

เรื่องที่น่าสนใจอื่นๆ