อัพเดท : 10 มิถุนายน 2567

คอมแอร์ ไม่ทำงาน ดูยังไง ส่งผลยังไง

ไม่ทำงาน

ส่งผลต่อความเย็นขึ้นในห้องโดยสาร …
คอมแอร์หรือคอมเพรสเซอร์แอร์ เป็นอุปกรณ์ที่เป็นหัวใจหลักและมีราคาสูงที่สุดในระบบปรับอากาศในรถยนต์ ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่เราควรจะทำความเข้าใจในหน้าที่และการทำงานของคอมเพรสเซอร์แอร์หรือคอมแอร์เอาไว้บ้างตามไปดูกันได้เลยครับ

        คอมแอร์ หรือ คอมเพรสเซอร์แอร์ เป็นอุปกรณ์ในระบบปรับอากาศรถยนต์ ทำหน้าที่ในการดูดและอัดน้ำยาแอร์ มีลักษณะทั้งแบบที่เป็นลูกสูบ,แบบโรตารี่แบบสโครลและแบบกรู โดยจะอัดสารทำความเย็นจากสถานะแก๊สแรงดันต่ำอุณหภูมิต่ำ จากทางท่อทางเดินน้ำยาแอร์ที่มาจากตู้แอร์เข้าที่ท่อทางดูด และอัดให้กลายเป็นแก๊สแรงดันสูงอุณหภูมิสูง แล้วส่งออกไปที่ท่อแรงดันสูงหรือท่อ จ่ายไปที่แผงคอนเดนเซอร์หรือคอยล์ร้อน เพื่อไประบายความร้อนให้เปลี่ยนสถานะจากแก๊สอุณหภูมิสูงแรงดันสูงกลายเป็นของเหลวอุณหภูมิสูงแรงดันสูง และจะถูกส่งต่อผ่านไดเออร์หรือตัวกรองน้ำยาแอร์ไปที่วาล์วแอร์ที่อยู่กับทางเข้าของตู้แอร์ เพื่อฉีดน้ำยาแอร์เปลี่ยนสถานะจากของเหลวแรงดันสูงอุณหภูมิสูงกลายเป็นแก๊สแรงดันต่ำและอุณหภูมิต่ำเข้าไปที่ตู้แอร์หรือฮีวาโปเรเตอร์ ทำให้ลมแอร์ที่ไหลผ่านตู้แอร์พัดพาเอาความเย็นจากตู้แอร์ออกไปที่หน้ากากแอร์เข้าสู่ห้องโดยสาร ทำให้เกิดความเย็นขึ้นภายในห้องโดยสาร จากนั้นน้ำยาแอร์ที่มีสถานะเป็นแก๊สอุณหภูมิต่ำแรงดันต่ำ จะถูกส่งไปตามท่อทางเดินน้ำยาแอร์หมุนเวียนกลับไปเข้าที่คอมเพรสเซอร์แอร์ที่ท่อแรงดันต่ำหรือท่อดูด จะครบขบวนการทำงานของระบบปรับอากาศในรถยนต์

 

คอมเพรสเซอร์แอร์แต่ละประเภท…  

 

คอมแอร์ แบบที่มีหน้ามู่เลย์หน้าคลัตช์และคลัตช์แม่เหล็ก

เพื่อใช้ตัดต่อการทำงานของคอมเพรสเซอร์แอร์ โดยในขณะที่ระบบแอร์ต้องการให้คอมแอร์ทำงานก็จะจ่ายไฟไปที่หน้าคลัตช์แม่เหล็กให้ทำงานเกิดสนามแม่เหล็กเอาชนะสปริงหน้าคลัตช์ ทำให้หน้าคลัตช์ที่อยู่กับมู่เลย์คอมเพรสเซอร์แอร์กับสายพานจับและหมุนไปพร้อมกับสายพานตามการหมุนของเครื่องยนต์ ทำให้คอมเพรสเซอร์ทำงานตามแรงขับของเครื่องยนต์ผ่านทางสายพาน เมื่อระบบแอร์หยุดจ่ายไฟมาที่หน้าคลัตช์คอมแอร์ สปริงหน้าคลัตช์ก็จะดันให้หน้าคลัตช์ออก จนทำให้แรงขับจากสายพานและมู่เลย์ไม่สามารถส่งแรงขับผ่านหน้าคลัตช์ไปที่คอมแอร์ได้ คอมแอร์ก็จะหยุดการทำงาน ในขณะที่คอมแอร์ทำงานจะเกิดการฉุดกำลังของเครื่องยนต์ให้มีรอบต่ำลง และระบบชดเชยรอบก็จะทำงานเพื่อชดเชยรอบที่ถูกฉุดลง ขณะที่หน้าคลัตช์ทำงานหากสังเกตจะมีเสียงดังให้ได้ยินในขณะตัดต่อการทำงาน

 

คอมแอร์ แบบไม่มีหน้าคลัตช์

จะใช้โซลินอยล์ในการเปิดปิดช่องทางเดินน้ำยาแอร์ เพื่อควบคุมให้เกิดการสร้างกำอัดหรือหยุดการทำงานของคอมเพรสเซอร์แอร์ โดยใช้สายพานเป็นตัวขับมู่เลย์คอมเพรสเซอร์แอร์โดยตรง แต่การจะสร้างกำลังอัดหรือไม่ก็ควบคุมที่โซลินอยล์ในการเปิดปิดช่องทางน้ำยาแอร์แทน จะไม่ได้ยินเสียงการทำงานและสังเกตจากมู่เลย์คอมเพรสเซอร์แอร์ไม่ได้ อาจต้องดูจากรอบของเครื่องยนต์ที่มีการเปลี่ยนแปลงไปตามการทำงานของคอมเพรสเซอร์แอร์แทน

 

คอมแอร์ แบบใช้มอเตอร์ไฟฟ้าในการขับ

เช่น ในรถยนต์ไฮบริดหรือในรถยนต์ไฟฟ้า จะไม่กินกำลังเครื่องยนต์ เนื่องจากใช้ไฟฟ้าเป็นตัวขับมอเตอร์คอมเพรสเซอร์แอร์โดยตรง ในขณะที่มอเตอร์คอมแอร์ทำงานจะมีเสียงให้ได้ยินและสังเกตจากเสียงที่เกิดขึ้น ทำให้ทราบได้ว่ากำลังทำงานอยู่หรือหยุดทำงานหากไม่มีเสียง

 

คอมแอร์ ไม่ทำงาน ดูยังไง ส่งผลอย่างไร?

สำหรับรุ่นที่มีหน้าคลัตช์คอมแอร์ สามารถสังเกตได้จากเวลาเปิดแอร์ ว่าหน้าคลัตช์มีการหมุนไปพร้อมกับสายพานหรือไม่หากมีการทำงานและมีการหมุนไปพร้อมกับสายพาน มีการหยุดทำงานเป็นระยะ แสดงว่าหน้าคลัตช์มีการทำงานปกติ แต่หากไม่มีการหมุนไปตามการหมุนของสายพาน แสดงว่าหน้าคลัตช์ไม่ทำงาน หรือให้ดูจากรอบเครื่องยนต์ที่จะขึ้นลงตามการทำงานของหน้าคลัตช์ ส่วนในรถรุ่นที่ไม่มีหน้าคลัตช์ให้ดูจากความเย็นของลมแอร์ หากคอมเพรสเซอร์แอร์ไม่ทำงาน จะส่งผลให้แอร์ไม่มีความเย็นเลย เนื่องจากคอมเพรสเซอร์แอร์จะเป็นตัวอัดน้ำยาแอร์เพื่อให้เกิดการทำงานหมุนเวียนน้ำยาแอร์ ผ่านอุปกรณ์ต่างๆในระบบแอร์ เพื่อสร้างความเย็นในห้องโดยสาร เมื่อคอมเพรสเซอร์แอร์ไม่ทำงานก็จะส่งผลให้แอร์ไม่เย็นตามมาในที่สุดครับ

 

สายพานสายพาน

เรื่องที่น่าสนใจอื่นๆ

อัพเดท : 7 มิถุนายน 2567

โตโยต้า เค.มอเตอร์ส มอบเงิน 2 ล้านบาท แก่คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ

สนับสนุน

ระบบวิสาหกิจ จุฬาลงกรณ์ฯ ….
โตโยต้า เค.มอเตอร์ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนสังคม ด้วยการมอบเงินทุนจำนวน 2 ล้านบาท สนับสนุนระบบวิสาหกิจคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อช่วยผลักดันและพัฒนาระบบการแพทย์ให้ทันสมัย ตอบแทนผู้ป่วยให้ได้มากที่สุด

บริษัท โตโยต้า เค.มอเตอร์ส ผู้จำหน่ายโตโยต้า จำกัด นำโดยคุณกนก สมภพรุ่งโรจน์ และคุณชัยพร สมภพรุ่งโรจน์ รองกรรมการผู้จัดการ ผู้แทนคณะผู้บริหาร มอบเงินจำนวน 2,000,000 บาท เพื่อร่วมสนับสนุนระบบวิสาหกิจคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยมีศ.นพ.ฉันชาย สิทธิพันธุ์ คณบดีคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และผศ.นพ.นครินทร์ ศิริทรัพย์ ผู้ช่วยคณบดีฝ่ายวางแผนและพัฒนา เป็นผู้รับมอบ ณ ห้องประชุมสำนักงานคณบดี อาคารอานันทมหิดล คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2567

เค.มอเตอร์ส เค.มอเตอร์ส

 

อัพเดท : 10 พฤษภาคม 2567

“เคล็ด” ขับรถออกจากโชว์รูมให้เดินทางปลอดภัย

ถอยรถใหม่

แก้เคล็ดให้แคล้วคลาดปลอดภัย…
อุบัติเหตุเป็นอะไรที่คาดเดาไม่ได้จริง ๆ ครับ เราไม่ขับชนเขา เขาก็อาจจะขับมาชนเราก็ได้ใครจะไปรู้ แต่….เพื่อความอุ่นใจในการขับขี่มากขึ้น ช่างเค.มีเคล็ด (ไม่) ลับ สำหรับแก้เคล็ดเพื่อให้แคล้วคลาดปลอดภัยในการขับขี่ ไม่ให้รถเราโดนชนหรือเกิดอุบัติเหตุร้ายแรงมาฝากกันครับ

ขับรถชนกล่อง….

เริ่มจากวันแรกที่ออกรถกันเลยครับ หลายคนอาจจะมีเคล็ดลับมากมาย แต่มีอีกหนึ่งวิธีที่หลาย ๆ คนยังไม่เคยรู้ นั่นก็คือ การขับรถชนกล่อง
วิธีก็คือ ก่อนจะขับรถออกจากโชว์รูม ให้วางกล่องหรือลังไว้หน้ารถ แล้วขับชนหรือเฉี่ยวเบา ๆ และพูดว่า “ขับชนแล้วนะ ไม่ชนอีกแล้วนะ”
เป็นอันเรียบร้อยครับ เคล็ดลับง่าย ๆ ที่ทำเพื่อให้เราเกิดความสบายใจครับ เรื่องแบบนี้ไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่

 

ขับรถเหยียบมะนาวก่อนออกจากโชว์รูม

ว่ากันว่า… วันออกรถให้นำมะนาวผ่าซีกมาวางไว้ใต้ล้อรถทั้ง 4 ล้อ (ต้องเป็นมะนาวที่ผ่าครึ่งซีกและไม่ขาดออกจากันด้วยนะครับ) เชื่อกันว่าทำแบบนี้เพื่อเป็นเคล็ดให้รถเกาะติดถนน ไม่ลื่น ไม่ไหล และสามารถอยู่ภายใต้ความควบคุมของผู้ขับเป็นอย่างดี ทั้งยังช่วยขจัดสิ่งชั่วร้ายให้ออกไป โดยมะนาวจะดูดซับสิ่งไม่ดี ทำให้ไม่ติดไปกับรถเรา การขับขี่จึงราบรื่น ปลอดภัยตลอดการเดินทาง

 

เรื่องแบบนี้จะจริงหรือไม่จริงเราไม่สามารถพิสูจน์ได้ จะเชื่อหรือไม่เชื่อขึ้นอยู่กับการใช้วิจารณญาณครับ แต่สิ่งสำคัญก็คือ ทุกครั้งที่ขับรถบนท้องถนน ไม่ควร “ประมาท” นะครับ

 

 

 

อ่านบทความที่น่าสนใจ

อัพเดท : 9 พฤษภาคม 2567

วิธีเข้าเกียร์ เมื่อจอดรถเพื่อถนอมเกียร์

ทำอย่างไร

ช่วยทำให้อายุการใช้งานเกียร์นานขึ้น…
การจอดรถไม่ถูกวิธีส่งผลทำให้เกียร์เกิดการสึกหรอ หรือทำให้เกิดความเสียหายตามมาได้ในระยะยาว วิธีการเข้าเกียร์ที่ถูกต้องเมื่อจอดรถจะช่วยลดการสึกหรอของเกียร์ และช่วยให้เกียร์ไม่เกิดความเสียหายก่อนเวลาอันควร

วิธีเข้าเกียร์ เมื่อจอดรถ เพื่อทำการถนอมเกียร์

สำหรับการจอดรถ “เกียร์อัตโนมัติ” สามารถใช้ได้ทั้งในการจอดบนทางราบและทางลาดชัน

 

1. หยุดรถให้นิ่งก่อนด้วยการเหยียบเบรกค้างไว้ก่อนทุกครั้ง
2. ให้ทำการดึงเบรกมือขึ้นจนสุด
3. เลื่อนคันเกียร์ไปยังตำแหน่ง เกียร์ “N” จากนั้นปล่อยเท้าออกจากแป้นเบรกช้าๆ ตรวจสอบดูว่ารถไม่ไหล (หากรถไหลให้ดึงเบรกมือขึ้นอีก)
4. เหยียบเบรกแล้วเลื่อนคันเกียร์ไปที่เกียร์ “P” และปล่อยเท้าขวาออกจากแป้นเบรกช้าๆ แล้วทำการดับเครื่องยนต์
5. หากต้องการจอดรถให้เข็นได้ ให้ทำตามขั้นตอน 1 – 4 แล้วจึงกดปุ่ม Shift LocK จากนั้นจึงเลื่อนคันเกียร์ไปที่เกียร์ N ก่อนจะทำการปลดเบรกมือเมื่อมั่นใจว่ารถจะไม่ไหล

 

สิ่งที่ห้ามทำ….

ห้ามเลื่อนคันเกียร์ไปยังตำแหน่งเกียร์ “P” ก่อนที่รถจะหยุดนิ่งสนิท เพื่อป้องกันกลไกของเกียร์เกิดความเสียหายได้ หากเข้าเกียร์ P จะทำให้กลไกล็อกของเกียร์ P ขบกับร่องฟันของชุดเกียร์ P ทันที ส่งผลให้ชุดกลไกรับแรงการเคลื่อนที่ของรถทั้งหมดเอาไว้ และส่งผ่านไปที่ยางแท่นเครื่องแท่นเกียร์ เมื่อทำบ่อยๆ ยางแท่นเครื่องแท่นเกียร์จะมีอายุการใช้งานสั้นลงตามไปด้วย

 

ในส่วนของการจอดรถ “เกียร์ธรรมดา” สามารถทำการถนอมเกียร์ได้ตามวิธีดังต่อไปนี้…

 

1. เหยียบคลัตซ์และเหยียบเบรกรถจนรถหยุดนิ่ง
2. ทำการโยกคันเกียร์มาที่ตำแหน่งเกียร์ว่างโดยที่ยังเหยียบเบรกค้างไว้
3. ดึงเบรกมือให้สุด และปล่อยเท้าออกจากแป้นเบรก ตรวจสอบดูว่ารถไม่ไหล ถ้าไหลให้ดึงเบรกมือเพิ่มอีก
4. ในกรณีจอดรถบนทางลาดชันให้เข้าเกียร์สูงสุดที่รถคันนั้นมี เช่น เกียร์ 5 เพื่อให้เกียร์ช่วยดึงรถอีกแรง ในกรณี
ไม่มีหมอนหนุนล้อและเป็นรถที่มีน้ำหนักมากหรือมีการบรรทุกหนัก
5. หลังจากจอดแล้ว ในกรณีที่จะออกรถก่อนทำการสตาร์ตรถต้องตรวจสอบตำแหน่งเกียร์ก่่อนทุกครั้งว่า
เกียร์อยู่ที่ตำแหน่งเกียร์ว่างไหม แล้วค่อยสตาร์ตเครื่องยนต์ ก่อนจะเข้าเกียร์ให้เหยียบเบรกไว้แล้วค่อยเหยียบคลัตซ์ และทำการเข้าเกียร์ จากนั้นจึงปลดเบรกมือ เพื่อเป็นการป้องกันความผิดพลาดที่อาจจะเกิดขึ้นได้

 

ดังนั้นจึงพอจะสรุปได้ว่าวิธีการเข้าเกียร์เมื่อจอดรถเพื่อถนอมเกียร์ ทั้งรถเกียร์อัตโนมัติและรถเกียร์ธรรมดาจะต้องเหยียบเบรกให้รถหยุดนิ่งก่อนทุกครั้ง เพื่อให้ไม่เกิดความเสียหายกับเกียร์และการจอดรถบนทางลาดชัน จำเป็นจะต้องทำการดึงเบรกมือด้วยทุกครั้งเพื่อความปลอดภัยครับ

 

สายพานสายพาน

 

 

เรื่องที่น่าสนใจอื่นๆ

อัพเดท : 9 พฤษภาคม 2567

สอนวิธี จับพวงมาลัย และ คืนพวงมาลัยที่ถูกต้อง

ใช้ให้ถูก

เปลี่ยนเพื่อความปลอดภัยในการขับขี่…
ในการขับขี่รถสิ่งที่สำคัญที่ทำให้การขับขี่ปลอดภัย นอกจากความพร้อมของคนขับรถแล้ว ความพร้อมของรถล้วนแต่มีความจำเป็นและสำคัญที่ทำให้การขับขี่ถึงจุดหมายปลายทางได้อย่างปลอดภัย แต่ยังมีอีกอย่างที่เราต้องทำให้ถูกต้องเพื่อให้เกิดความปลอดภัยนั่นก็คือการจับพวงมาลัยการหมุนและการคืนพวงมาลัยที่ถูกต้องนั่นเองครับ

วิธีการจับพวงมาลัยที่ถูกต้อง…


ในการจับพวงมาลัยจะเทียบวงพวงมาลัยกับหน้าปัดนาฬิกา โดยแบ่งตำแหน่งจากเลข 1 ไปจนถึงเลข 12 โดยตำแหน่งการจับพวงมาลัยที่ถูกต้อง สำหรับพวงมาลัยทั่วไปและพวงมาลัยขนาดใหญ่ มือซ้ายจะอยู่ที่เลข 9 หรือ 9 นาฬิกา มือขวาจะอยู่ที่เลข 3 หรือ 3 นาฬิกา ส่วนรถที่มีวงพวงมาลัยขนาดเล็ก ลักษณะการจับที่ถูกต้องอยู่ที่เลข 10 หรือ 10 นาฬิกา และเลข 2 หรือ 2 นาฬิกา โดยการจับพวงมาลัยที่ดีนั้นต้องจับให้กระชับ ไม่กำแน่นมากเกินไป และไม่ควรจับพวงมาลัยมือเดียว หรือจับพวงมาลัยหงายมือรวมทั้งการสอดมือเข้าไปในพวงมาลัย เพราะพวงมาลัยอาจจะตีมือรุนแรงและทำให้เสียหลักในขณะขับขี่ได้


การหมุนและการคืนพวงมาลัยที่ถูกต้อง มีอยู่ 2 วิธี ซึ่งเป็นที่ยอมรับในระบบสากล คือ

 

1. แบบดัน-ดึง (Push and Pull)

โดยให้จับพวงมาลัยตามตำแหน่งที่ถูกต้อง กำหนดเอาไว้ว่าเวลาหมุนเลี้ยวพวงมาลัยมือทั้ง 2 ข้าง ต้องไม่ข้ามจุดเลข 12 และ 6 ตามตำแหน่งนาฬิกา ในการหมุนเลี้ยวพวงมาลัยมือทั้ง 2 ข้าง จะทำสลับกันระหว่างการดึงและการดัน โดยจะไม่ดึงหรือดันพร้อมๆ กันทั้ง 2 มือ เมื่อจะเลี้ยวขวาให้เลื่อนมือขวา รูดผ่านพวงมาลัยขึ้นมาที่ตำแหน่งเลข 12 จากนั้นมือขวาก็ดึงพวงมาลัยมาสู่ตำแหน่งเลข 6 ซึ่งในขณะที่มือขวาดึงพวงมาลัยลงอยู่นั้น ให้รูดมือซ้ายผ่านวงพวงมาลัยขนานคู่กับมือขวาลงมาสู่ตำแหน่งเลข 6 และพบกับมือขวาที่ตำแหน่งเลข 6 ถ้าวงเลี้ยวยังไม่พอโดยที่มือซ้ายต้องดันพวงมาลัยจากตำแหน่งเลข 6 ขึ้นไปหาตำแหน่งเลข 12 และมือขวารูดพวงมาลัยขึ้นไปสู่ตำแหน่งเลข 12 พร้อมๆ กับมือซ้าย เช่นเดียวกันถ้าวงเลี้ยวยังไม่พอให้มือขวาดึงพวงมาลัยลงเพิ่มขึ้นทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะได้วงเลี้ยวที่ต้องการ ถ้าจะทำการเลี้ยวซ้ายให้ทำวิธีตรงข้ามกันกับการเลี้ยวขวาตามวิธีที่กล่าวมาข้งต้นครับ

 

2.แบบคร่อมแขน (Hand over Hand)

การหมุนและคืนพวงมาลัยแบบคร่อมแขน ให้จับพวงมาลัยตำแหน่งที่ถูกต้อง เมื่อจะเลี้ยวซ้าย ให้ใช้มือขวาดันพวงมาลัยหมุนทวนเข็มนาฬิกา ช่วงครึ่งวงด้านบนของพวงมาลัย โดยมือซ้ายหมุนตามไปช่วงครึ่งวงด้านล่าง ซึ่งสามารถหมุนเลี้ยวพวงมาลัยได้ประมาณ 180 องศา โดยไม่ต้องปล่อยมือทั้ง 2ข้าง จากนั้นเลื่อนมือขวามาเตรียมพร้อมรับช่วงที่ประมาณเลข 3 นาฬิกา เมื่อมือซ้ายไปถึงที่ประมาณเลข 9 นาฬิกา ลักษณะเป็นการสาวสลับมือช่วงครึ่งวงด้านบนของพวงมาลัยจากเลข 3 ไป 9 นาฬิกา ซึ่งเป็นการหมุนพวงมาลัยแบบคร่อมแขน (Hand over Hand) ในการหมุนคืนพวงมาลัยกลับจากการเลี้ยวซ้ายให้ใช้การสลับมือครึ่งวงด้านบนของพวงมาลัยทำนองเดียวกันกับการหมุนตามเข็มนาฬิกา โดยการใช้มือขวาดึง และมือซ้ายดันจากเลข 9 ไป 3 นาฬิกา ถ้าทำการสลับมือกลับตามนี้แล้ว เมื่อรถวิ่งตรงมือขวาจะอยู่ที่เลข 3 นาฬิกา และมือซ้ายอยู่ที่เลข 9 นาฬิกาเหมือนในตอนแรก วิธีนี้จะทำให้มือทั้ง 2ข้าง ไม่ต้องปล่อยพวงมาลัย ในกรณีที่หักพวงมาลัยไม่เกิน 180 องศา ซึ่งเป็นการขับขี่ในการจราจรปกติทั่วไป ตอบสนองต่อการเลี้ยวในสถานการณ์ฉุกเฉินได้ดีและเร็วที่สุด ถ้าจะเลี้ยวขวาก็ให้ทำตรงข้ามกันครับ

 

ดังนั้นหากใครยังจับพวงมาลัยและหมุนพวงมาลัยผิดวิธีอยู่ก็ให้ปรับเปลี่ยนใหม่ให้ถูกต้องเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนนเพื่อประโยชน์สุขแก่ชีวิตและทรัพย์สินของท่านและเพื่อนร่วมทางครับ

 

 

สายพานสายพาน

 

 

เรื่องที่น่าสนใจอื่นๆ