อัพเดท : 10 ตุลาคม 2565

สตาร์ต ปุ๊บ…ควรออกตัวทันทีหรือรอก่อน?

แบบไหนดี?

สตาร์ตรถแบบไหนถนอมเครื่องยนต์ได้…
จริงๆ แล้วการจอดรถทิ้งไว้ทั้งคืน เมื่อจะขับรถออกจากบ้าน ควรสตาร์ตแล้วออกตัวเลยหรือสตาร์ตแล้ว วอร์มเครื่องทิ้งไว้ก่อน เป็นสิ่งที่หลายๆ คนสงสัยมากครับ ซึ่งในกรณีนี้แม้อาจจะเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่อาจจะส่งผลกับเครื่องยนต์ในระยะยาวได้ครับ

ในกรณีที่จอดค้างคืน เมื่อ สตาร์ต รถแล้ว ควรวอร์มเครื่องทิ้งไว้ 3-5 นาที แล้วค่อยเคลื่อนตัวไปช้าๆ จนกว่าไฟเตือนอุณหภูมิน้ำสีน้ำเงินจะดับลง หรือเข็มความร้อนขึ้นอยู่ในระดับกึ่งกลางของเกย์ความร้อนดีกว่าแล้วค่อยกดคันเร่ง

 

การสตาร์ตปุ๊บ แล้วออกตัวทันที จะทำให้เครื่องยนต์เกิดการเสียดสีอย่างรุนแรง และเครื่องยนต์มีปัญหาในระยะยาวได้ เพราะการจอดรถทิ้งไว้ทั้งคืนนั้น น้ำมันเครื่องจะไหลลงมาอยู่ด้านล่างเหลือเพียงฟิลม์น้ำมันที่เคลือบชิ้นส่วน การที่ติดเครื่องแล้วเร่งออกตัวกดคันเร่งกันแบบรวดเร็ว โดยที่น้ำมันเครื่องยังไปหล่อเลี้ยงชิ้นส่วนภายในเครื่องยนต์ได้ยังไม่เต็มที่ อาจส่งผลให้เกิดการสึกหรอได้เร็วกว่าที่ควร รวมถึงอุณหภูมิของน้ำมันเครื่อง และน้ำมันเกียร์ก็ยังเย็นอยู่ ประสิทธิภาพก็ยังไม่เต็มที่

 

ที่สำคัญ ไม่ควรดับเครื่องยนต์ทันที เมื่อถึงจุดหมายแล้ว ควรวอร์มดาวน์เครื่องยนต์เพื่อให้เครื่องยนต์เย็นลง ทิ้งไว้อย่างน้อย 1 นาทีก่อนดับ หรือระยะเวลาอาจขึ้นอยู่กับการใช้เครื่องยนต์ว่ามากน้อยเพียงใด

 

เคล็ด (ไม่) ลับ สตาร์ตรถอย่างไรให้ถนอมเครื่องยนต์ได้ดีที่สุด

1.สตาร์ตให้น้อยเท่าที่จำเป็น จึงควรดูแลรถให้สตาร์ตติดง่าย ซึ่งสิ่งที่ต้องตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอ ได้แก่
– ระบบไฟที่เกี่ยวข้องกับการสตาร์ต เช่น หัวเทียน สายไฟ สตาร์ทเตอร์ กำลังไฟของแบตเตอรี่ และระบบจุดระเบิด เป็นต้น
– พยายามอย่าใช้งานเครื่องยนต์หนักหลังสตาร์ต เช่น ไม่ควรเหยียบคันเร่งหนักๆ หลังสตาร์ต เพราะเครื่องยนต์จะเกิดการสึกหรอ ควรรอสักพักเพื่อให้เครื่องยนต์อยู่ในอุณหภูมิที่เหมาะสมก่อนค่อยออกตัว เริ่มต้นด้วยอัตราเร่งต่ำๆ ก่อนขับด้วยความเร็วปกติ

 

เติมน้ำมันผิด
เติมน้ำมันผิด

 

 

เรื่องที่น่าสนใจอื่นๆ

อัพเดท : 28 กันยายน 2565

เค.มอเตอร์ส รับรางวัลผู้ให้การส่งเสริมและสนับสนุนกีฬามวยดีเด่น

เชิดชูเกียรติ

องค์กรผู้ทำคุณประโยชน์ให้กับวงการมวย
โตโยต้า เค.มอเตอร์ส รับรางวัลผู้ให้การส่งเสริมและสนับสนุนกีฬามวยดีเด่น ประเภทองค์กร จากงานยกย่องเชิดชูเกียรติบุคคลในวงการกีฬามวย ครั้งที่ 10 ซึ่งจัดขึ้นโดยสำนักคณะกรรมการกีฬามวย การกีฬาแห่งประเทศไทย กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ณ อินดอร์สเตเดียม หัวหมาก การกีฬาแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2565

ซึ่งในปีนี้ โตโยต้า เค.มอเตอร์ส ขึ้นรับรางวัลผู้ให้การส่งเสริมและสนับสนุนกีฬามวยดีเด่น ประเภทองค์กร โดยคุณเกตุนภา เสนางาม จรรยากูล ผู้จัดการแผนกสื่อสารและประชาสัมพันธ์การตลาด เป็นตัวแทนคณะผู้บริหารขึ้นรับรางวัลกับคุณพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา

ภายในงานมีการจัดนิทรรศการและบรรยายเกี่ยวกับมวยไทย และเปิดด้วยการแสดงชุด “มวยไทย” (ไหว้ครูและมวยไทยความภาคภูมิใจของชาติไทย) ก่อนจะเข้าสู่พิธีการมอบรางวัลยกย่องเชิดชูเกียรติบุคคลในวงการกีฬามวยในประเภทต่างๆ

พร้อมกันนี้ โตโยต้า เค.มอเตอร์ส ยังให้คำมั่นว่าองค์กรจะสืบทอดปณิธานและมุ่งมั่นตั้งใจเป็นผู้สนับสนุนวงการกีฬามวยให้อยู่คู่กับคนไทยตลอดไป

 

โตโยต้า เค.มอเตอร์ส โตโยต้า เค.มอเตอร์ส โตโยต้า เค.มอเตอร์ส
โตโยต้า เค.มอเตอร์ส โตโยต้า เค.มอเตอร์ส โตโยต้า เค.มอเตอร์ส
โตโยต้า เค.มอเตอร์ส โตโยต้า เค.มอเตอร์ส โตโยต้า เค.มอเตอร์ส
โตโยต้า เค.มอเตอร์ส โตโยต้า เค.มอเตอร์ส โตโยต้า เค.มอเตอร์ส

 

อัพเดท : 23 กันยายน 2565

สไตล์รถที่เหมาะกับแต่ละราศี…

แบบไหนดี

ราศีไหนชื่นชอบและเหมาะกับรถแบบไหน…
แต่ละราศีก็มีนิสัยและความชอบที่แตกต่างกันไป เรื่องรถยนต์ก็เช่นเดียวกัน บางคนชอบรถเล็ก บางคนชอบรถใหญ่ บางคนรถน่ารักๆ ในขณะที่อีกคนชอบรถสไตล์สปอร์ต ซึ่งราศีอาจจะมีผลต่อการเลือกรถยนต์ได้ มาดูกันว่ารถแบบไหน เหมาะกับราศีอะไร….

สไตล์รถที่เหมาะกับแต่ละราศี

ราศีเมษ (21 มีนาคม -20 เมษายน)

ราศีนี้จะชื่นชอบรถสปอร์ต แรง หรู และคล่องตัว เพิ่อเพิ่มลุคให้ตัวเองดูดี เท่ โดยเฉพาะรถสปอร์ตสีแดงถูกโฉลกกับราศีนี้สุดๆ

 

ราศีพฤษภ (21 เมษายน – 21 พฤษภาคม)

คนเกิดราศีพฤษภ มักจะมองหารถที่เน้นความประหยัด คุ้มค่า และทนทาน ฉะนั้นรถส่วนใหญ่ที่คนราศีนี้ซื้อจะเป็นรถยนต์อเนกประสงค์ ที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามการใช้งานในชีวิตประจำวัน

 

ราศีเมถุน (22 พฤษภาคม- 21 มิถุนายน)

ลักษณะนิสัยของคนเกิดราศีนี้ คือ มีความคล่องแคล่ว และมีความอดทนต่ำ ไม่ชอบมากๆ เวลารถติด สไตล์รถที่ชอบจึงเน้นความรวดเร็ว คล่องตัว กะทัดรัด สามารถลัดเลาะซอกซอยได้ง่ายๆ ที่สำคัญต้องเน้นรถที่มีความทนทานด้วยนะ เพราะคุณน่ะขาลุยสุดๆ

 

ราศีกรกฏ (22 มิถุนายน- 22 กรกฎาคม)

ราศีนี้ขึ้นชื่อว่ารักครอบครัวสุดๆ รถที่ชื่นชอบจึงเป็นรถที่ขนาดใหญ่ สามารถจุคนในครอบครัวได้ รถที่เหมาะกับราศีนี้จึงเป็นรถยนต์จำพวกรถใหญ่ เช่น โฟร์วีล หรือรถแวน มินิแวน หรือรถกระบะ

 

ราศีสิงห์ (23 กรกฎาคม – 23 สิงหาคม)

คนเกิดราศีสิงห์มีลักษณะนิสัยที่ซื่อสัตย์ ถูกโฉลกกับของจำพวกทอง สไตล์รถยนต์ที่ชื่นชอบส่วนใหญ่จึงเน้นสีทอง หรือรถที่มีความอเนกประสงค์ 4 ประตู เรียบหรู และตกแต่งแบบฟลูออปชัน

 

ราศีกันย์ (24 สิงหาคม- 23 กันยายน)

คนราศีกันย์เป็นคนที่มีความประหยัด มัธยัสถ์ รถยนต์ที่ชอบจึงต้องเป็นรถยนต์ที่มีความคุ้มค่า ประหยัด และทนทาน ใช้งานได้นาน เช่น รถยนต์ซีดาน 4 ประตู ที่ใช้งานได้คล่องตัว มีเครื่องยนต์ที่เงียบ

 

ราศีตุลย์ (24 กันยายน-23 ตุลาคม)

สำหรับคนที่เกิดราศีนี้ สิ่งที่คนราศีตุลย์พิจารณาเวลาซื้อรถคือ เสน่ห์ของรถ และไม่ค่อยสนใจว่าจะรถจะผลิตจากไหน ปีอะไร แต่จะเน้นรถที่ให้ความสะดวกสบาย ซึ่งต้องเป็นรถที่ปรับเอนได้ มีที่วางแบบบิวท์อิ ที่ชาร์จแบบไฟฟ้าและที่วางแก้วตามจุดต่างๆ

 

ราศีพิจิก (23 ตุลาคม – 21 พฤศจิกายน)

คนราศีนี้จะชอบรถยนต์ที่มีดีไซน์ล้ำสมัย ไม่เหมือนใคร เน้นรถหรู ที่มีความปราดเปรียว และสปอร์ตคล่องตัวต้องมาเป็นอันดับแรกๆ ที่สำคัญการตกแต่งทั้งด้านนอกและด้านในจะเน้นโทนสีดำ ให้ดูเข้ม มีสไตล์

 

ราศีธนู (22 พฤศจิกายน -21 ธันวาคม)

สำหรับใครที่เกิดราศีธนู ส่วนใหญ่จะชื่นชอบรถใหญ่เพราะมีเพื่อนฝูงเยอะ เน้นเครื่องแน่น มีความหรูหรา และโดดเด่น เช่น รถนั่งแฮทช์แบ็กขนาดใหญ่ 5 ประตู เป็นต้น

 

ราศีมังกร (22 ธันวาคม – 20 มกราคม)

ราศีมังกร เป็นคนรอบคอบเวลาซื้อรถ ต้องคุ้มค่า คุ้มราคา และต้องเน้นความทนทาน คนราศีนี้ชื่นชอบทั้งรถสมัยใหม่ และรถคลาสสิก ไม่เน้นตามกระแส แต่เน้น คุณภาพของรถ

 

ราศีกุมภ์ (21 มกราคม-19 กุมภาพันธ์)

คนเกิดราศีกุมภ์ เป็นคนที่โดดเด่น รถยนต์ที่ชื่นชอบจึงมีความทันสมัย และสะดุดตา เช่น รถยนต์ไฮบริดที่เน้นประหยัดพลังงาน หรือรถยนต์คลาสสิกที่ดูยังไงก็ไม่เก่า

 

ราศีมีน (20 กุมภาพันธ์-20 มีนาคม)

คนราศีมีน เป็นคนที่ใส่ใจ จึงมักดูแลรถด้วยความเอาใจใส่ ทะนุถนอม เน้นรถยนต์ที่มีขนาดกำลังดี ไม่เล็กหรือใหญ่ไป เป็นรถส่วนตัวก็ได้ รถครอบครัวก็ดี เช่น รถยนต์นั่ง 4 ประตู ห้องโดยสารกว้าง หรือรถเอนกประสงค์ 5 ประตู แต่ต้องโดดเด่นและสะดุดตา

 

 

 

อ่านบทความที่น่าสนใจ

อัพเดท : 22 กันยายน 2565

สาเหตุที่ทำให้ หม้อน้ำแห้ง….

อย่าปล่อยไว้

ควรหมั่นตรวจสอบเป็นประจำสม่ำเสมอ…
หม้อน้ำรถยนต์ ทำหน้าที่ ระบายความร้อนให้กับเครื่องยนต์ ไม่ให้สูงมากเกินไป หากรถยนต์มีอาการ หม้อน้ำแห้ง อาจเกิดปัญหาใหญ่ตามมาได้ เช่น เครื่องยนต์เกิดความร้อนสูง จนอาจน็อกได้ ซึ่งสาเหตุของหม้อน้ำแห้งเกิดจากอะไรนั้น มาดูกันครับ…

หม้อน้ำแห้ง

หน้าที่ของหม้อน้ำรถยนต์ คือ การระบายความร้อนให้เครื่องยนต์ ไม่ให้อุณหภูมิสูงเกินไป เพื่อให้เครื่องยนต์สามารถทำงานได้อย่างต่อเนื่อง โดยอาศัยน้ำยาหล่อเย็นและพัดลมหม้อน้ำ ทำหน้าที่ดูดอากาศจากด้านหน้าหม้อน้ำผ่านครีบระบายความร้อนมายังด้านหลัง เพื่อทำการหมุนเวียนเข้าสู่รถยนต์

 

 

 

สาเหตุที่ทำให้หม้อน้ำแห้ง..

1. ฝาปิดหม้อน้ำชำรุดเสื่อมสภาพหรือปิดไม่สนิท

2. หม้อพักน้ำหล่อเย็นชำรุด หากตัวถังเป็นพลาสติก เมื่อโดนความร้อนเป็นเวลานาน อาจทำให้ชำรุดได้

3. พัดลมระบายความร้อน ทำงานผิดปกติ และรังผึ้งหม้อน้ำมีสิ่งสกปรกอุดตัน ระบายความร้อนไม่สะดวก

 

หากเกิดเหตุการณ์ หม้อน้ำแห้ง ควรทำอย่างไรดี?

จอดรถ รอให้เครื่องเย็นแล้วค่อยเติมน้ำยาหม้อน้ำ แต่ถ้าไม่มีน้ำยา ให้ใช้น้ำเปล่าเติมแทนได้ ข้อควรระวังคือ อย่าปล่อยให้หม้อน้ำแห้งจนเกลี้ยง เพราะจะทำให้เครื่องยนต์พังได้

 

วิธีการดูแลหม้อน้ำรถยนต์

– เช็กระดับน้ำภายในหม้อน้ำ สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง

รถใหม่อายุไม่เกิน 2 ปี สำหรับรถใหม่ อาจยังไม่ต้องตรวจสอบอะไรมาก เพราะการระบายความร้อนยังทำงานได้อย่างสมบูรณ์แบบ

รถยนต์ที่มีอายุ 2 ปี ควรตรวจสอบระดับน้ำในหม้อพักน้ำให้อยู่ตรงระดับ High โดยไม่ต้องเปิดที่ฝาหม้อน้ำ (ข้อควรระวังคือ อย่าเติมเกินขีด High หรือเติมจนเต็มหม้อพักน้ำ เพราะจะทำให้ระบบดึงน้ำทิ้งไปจนหมด)

รถยนต์ที่มีอายุมากกว่า 4 ปี ควรเปิดดูจากฝาหม้อน้ำสัปดาห์ละ 1 ครั้ง ซึ่งหม้อน้ำควรอยู่ในระดับที่ “เต็ม” อยู่เสมอ

 

เติมน้ำมันผิด
เติมน้ำมันผิด

 

 

เรื่องที่น่าสนใจอื่นๆ

อัพเดท : 22 กันยายน 2565

เกียร์ออโต้ แบบขั้นบันได กับ แบบลากตรง ต่างกันอย่างไร

การใช้เกียร์

เกียร์ทั้ง 2 แบบ ใช้งานอย่างไร ต่างกันไหม…
ทำไม เกียร์ออโต้ ถึงมีทั้งแบบขั้นบันไดและแบบลากตรง แล้วเกียร์ทั้ง 2 แบบ แตกต่างกันอย่างไร วิธีใช้งานเหมือนกันไหม ทำรถแต่ละรุ่นจึงมีการออกแบบลักษณะเกียร์ไม่เหมือนกัน …

เกียร์ออโต้ ที่เห็นโดยทั่วไป มี 2 รูปแบบ คือ….

 

 

เกียร์ออโต้แบบขั้นบันได

 

ส่วนใหญ่มักเห็นในรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติที่ตกแต่งแนวสปอร์ต การใช้งานต้องเลื่อนคันเกียร์ไปตามขั้นเหมือนขั้นบันได ยุ่งยากกว่าเกียร์แบบเลื่อนตรง

ข้อดี คือสวยงาม เกียร์ไม่มีการเลื่อนไปตำแหน่งอื่น เนื่องจากขั้นบันไดเปรียบเสมือนตัวล็อกตำแหน่งเกียร์ไว้แล้ว

ข้อเสีย คือ หากใช้งานไม่คล่องจะต้องก้มลงไปมองบ่อยๆ อาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุจากการละสายตาจากการมองหน้ารถได้

 

เกียร์ออกโต้ แบบลากตรง

 

เกียร์ออกโต้ รูปแบบการใช้งานไม่ซับซ้อน ใช้ง่าย แค่กดปุ่มที่คันเกียร์แล้วเลื่อนคันเกียร์ขึ้นลงในแนวตรงล็อกตำแหน่งเกียร์ตามต้องการได้เลย เป็นชุดเกียร์ที่เข้าง่าย ให้ความสะดวกสบาย แต่จะสร้างความลำบากให้กับการขับขี่ได้ คือ บางครั้งอาจมีการเข้าเกียร์ผิดตำแหน่ง เช่น อยากเข้าเกียร์ P ไป N แต่ดันถอยเลยไปลงที่ D อาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุได้

**การใช้งานเกียร์ทั้ง 2 ไม่ต่างกันเท่าไหร่ ถ้าไม่เคยใช้เกียร์แบบขั้นบันไดมาก่อน ก็สามารถเรียนรู้การใช้งานได้ไม่ยาก

 

วิธีการดูแลเกียร์ออโต้ให้ใช้งานได้นาน…

1. ไม่ออกตัวกระชาก การออกตัวรถกระชากเกินไปจะทำให้เฟืองที่อยู่ภายในเกียร์เกิดความเสียหาย ทำให้เกียร์สึกหรอได้ไว

2. ไม่ใส่เกียร์ P ขณะจอดรถติดไฟแดง ป้องกันไว้ในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุฉุกเฉิน เพราะหากรถโดนชนท้ายในขณะเข้าเกียร์ P ตัวล็อกเฟืองเกียร์หรือเฟืองเกียร์อาจเสียหาย ส่งผลทำให้เกียร์พัง ดังนั้นหากจอดรถเวลารถติดแนะนำให้ใส่เกียร์ N ทิ้งไว้ครับ

3. ไม่ขับลากรอบ เพราะจะทำให้เกียร์ทำงานหนัก ส่งผลทำให้มีอายุการใช้งานที่น้อยลง

4. จอดรถให้สนิท ก่อนใส่เกียร์ถอย เพราะถ้าจอดรถไม่สนิทแล้วใส่เกียร์ถอย จะทำให้เฟืองเกียร์เกิดความเสียหาย

5. เปลี่ยนน้ำมันเกียร์ตามระยะกำหนด จะช่วยยืดอายุการใช้งานเกียร์ออโต้ให้ใช้งานได้นาน

 

เติมน้ำมันผิด
เติมน้ำมันผิด

 

 

รื่องที่น่าสนใจอื่นๆ