อัพเดท : 11 มิถุนายน 2568

ทำไมปุ่ม EV Mode จึงไม่ควรใช้ เวลาขับรถขึ้นเขา

ไม่แนะนำ

ควรใช้โหมดที่ให้กำลังในการปีนป่าย…
จุดประสงค์ของการใช้งาน EV Mode เพื่อลดเสียงรบกวนจากการที่เครื่องยนต์ทำงาน เช่น เมื่อใช้เข้าและออกจากโรงจอดรถ รวมทั้งลดการปล่อยควันไอเสียในโรงจอดรถเท่านั้น ไม่ได้มีเอาไว้เพื่อขับขี่ประหยัดน้ำมัน เนื่องจากพอแบตเตอรี่ลดลงระบบ

แต่ในรถปัจจุบันหลายรุ่นสามารถเข้าเกียร์และปล่อยคลัตช์ออกตัวไปได้เลย โดยไม่ต้องเหยียบคันเร่ง ด้วยการพัฒนาเครื่องยนต์ทำให้ได้แรงม้าและแรงบิดเพิ่มขึ้น ในขณะที่ขนาดของเครื่องยนต์เท่ากัน ดังนั้นจึงมีผู้ขับขี่บางคนที่ใช้เกียร์ 2 ในการออกตัว ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ เพราะอะไรและส่งผลอย่างไรบ้างไปดูกันครับ

 

อัตราทดยิ่งมากยิ่งมีแรงฉุดลากหรือแรงขับเคลื่อนมากอัตราทดน้อยแรงฉุดหรือแรงขับเคลื่อนก็จะน้อย

ในเกียร์ธรรมดาเช่นในรถรีโว่เกียร์ธรรมดา 6 Speed (รุ่น RC60) มีอัตราทดเกียร์ดังนี้ เกียร์ 1 เท่ากับ 4.784 : 1 / เกียร์ 2 เท่ากับ 2.423 : 1 / เกียร์ 3 เท่ากับ 1.443 : 1 / เกียร์ 4 เท่ากับ 1.000 : 1 /เกียร์ 5 เท่ากับ 0.777 : 1 / เกียร์ 6 เท่ากับ 0.643 : 1 และ เกียร์ถอย เท่ากับ 4.066 : 1 จะเห็นได้ว่าเกียร์ 1 อัตราทดมากที่สุด และรองลงมาคือเกียร์ถอยหลัง เนื่องจากจำเป็นจะต้องใช้แรงบิดในการออกตัวทั้งเดินหน้าหรือถอยหลัง ในการที่จะทำให้รถเริ่มเคลื่อนตัวจากจุดหยุดนิ่งได้ โดยเมื่อรถออกตัวหรือเคลื่อนที่ไปแล้วก็ไม่จำเป็นจะต้องใช้แรงบิดมาก เห็นได้จากอัตราทดเกียร์จากเกียร์ 2 ถึงเกียร์ 6 จะค่อยๆ ลดลงต่ำลงไปเรื่อยๆ

 

การออกตัวด้วยเกียร์ 2 ส่งผลอย่างไร

เนื่องจากการออกตัวเกียร์ 2 จะส่งผลทำให้เครื่องยนต์ทำงานหนักมากขึ้นเพื่อชดเชยอัตราทดที่ต่ำลง เกียร์ 1 เท่ากับ 4.784 : 1 เกียร์ 2 เท่ากับ 2.423 : 1 บางครั้งอาจจะต้องเหยียบคันเร่งเพื่อเพิ่มกำลังของเครื่องยนต์ให้สูงขึ้น เพื่อชดเชยภาระจากอัตราทดเกียร์และแรงบิดที่สูญเสียไปกับอัตราทดเกียร์ที่ต่ำลงในการออกตัวด้วยเกียร์ 2 ส่งผลคือ ทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้น และส่งผลทำให้เกิดการสึกหรอมากกว่าการออกตัวด้วยเกียร์ 1 ตามปกติ

 

ดังนั้นรถเกียร์ธรรมดา สามารถออกตัวที่เกียร์ 2ได้ (ผู้ขับขี่บางคนชอบทำ) แต่เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ เพราะผลที่จะตามมาจะทำให้เพิ่มภาระให้กับเครื่องยนต์ ทำให้เครื่องยนต์สึกหรอมากกว่าการใช้เกียร์ 1 ออกตัว และยังทำให้กินน้ำมันเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับการออกตัวด้วยเกียร์ 1 การออกตัวด้วยเกียร์ 1 เปรียบเสมือนการเดินบนทางราบ ที่ไม่ต้องออกแรงมาก (ไม่ต้องเหยียบคันเร่งช่วย แค่ปล่อยคลัตช์รถก็เคลื่อนตัวได้) แต่การออกตัวด้วยเกียร์ 2 เปรียบเสมือนการเดินขึ้นบันได ซึ่งต้องใช้แรงเพิ่มขึ้น เหนื่อยขึ้น กว่าการเดินบนทางราบ (เครื่องยนต์จะทำงานหนักขึ้น หรือต้องเหยียบคันเร่งช่วย )

 

สายพานสายพาน

 

เรื่องที่น่าสนใจอื่นๆ

อัพเดท : 26 พฤษภาคม 2568

เก็บตกภาพงาน “Toyota No.1 Trusted HEV ไฮบริดที่ใช่มั่นใจทุกเจน ”

ยืน 1

รถยนต์ไฮบริดที่เหมาะกับทุกคน
รวมพลรถยนต์ไฮบริด ที่สุดจากโตโยต้า กับอีเวนต์พิเศษ “Toyota No.1 Trusted HEV ไฮบริดที่ใช่มั่นใจทุกเจน ” ที่จัดขึ้นที่โชว์รูมโตโยต้า เค.มอเตอร์ส สาขาถนนจันทน์ เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา ขนไฮบริดทุกรุ่น และกิจกรรม Work Shop สนุกๆ มาให้ร่วมแบบจัดเต็ม!

จบไปแล้วกับอีกกิจกรรมพิเศษ ที่เค.มอเตอร์ส ได้รวบรวมรถยนต์ไฮบริดหลากหลายรุ่น ที่เหมาะกับทุกเจน มาให้ลูกค้าได้ชมกัน ไม่ว่าจะเป็น Camry, Altis, Corolla Cross, Yaris Cross, Innova ชอบรุ่นไหน ก็พุ่งตรงไปที่รุ่นนั้นได้เลย เพราะเรามีน้องๆ พนักงานขายที่น่ารัก คอยดูแลลูกค้าทุกคนอย่างทั่วถึง พร้อมแนะนำสเปคแต่ละรุ่นอย่างแม่นยำ ไม่เพียงเท่านี้ฝั่งงานบริการและอะไหล่เองก็นำบูธมาจัดแสดงพร้อมกับช่างผู้เชี่ยวชาญประจำบูธคอยแนะนำสินค้าบริการและอะไหล่สำหรับลูกค้าที่สนใจอีกด้วย

ยังไม่หมดเท่านี้ ภายในงานยังมีกิจกรรม Work Shop ทำเคสยาดมมาให้ลูกค้าได้ร่วมสร้างสรรค์ผลงานสวยๆ กันด้วย งานนี้จึงมีลูกค้าหลายคนได้เคสยาดมที่มีเพียงชิ้นเดียวในโลกกลับบ้านไปเป็นของที่ระลึกกันเพียบ…

 

Toyota Toyota Toyota
Toyota Toyota Toyota
Toyota Toyota Toyota
Toyota Toyota Toyota
Toyota Toyota Toyota
Toyota Toyota Toyota
Toyota Toyota Toyota
Toyota Toyota Toyota
  Toyota Toyota Toyota
Toyota Toyota Toyota
   Toyota Toyota Toyota
Toyota Toyota Toyota
Toyota Toyota Toyota
Toyota Toyota Toyota

 

 

อัพเดท : 20 พฤษภาคม 2568

ทำไมปุ่ม EV Mode จึงไม่ควรใช้ เวลาขับรถขึ้นเขา

ไม่แนะนำ

ควรใช้โหมดที่ให้กำลังในการปีนป่าย…
จุดประสงค์ของการใช้งาน EV Mode เพื่อลดเสียงรบกวนจากการที่เครื่องยนต์ทำงาน เช่น เมื่อใช้เข้าและออกจากโรงจอดรถ รวมทั้งลดการปล่อยควันไอเสียในโรงจอดรถเท่านั้น ไม่ได้มีเอาไว้เพื่อขับขี่ประหยัดน้ำมัน เนื่องจากพอแบตเตอรี่ลดลงระบบ

ปุ่ม EV Mode เป็นปุ่มทีใช้สำหรับเลือกโหมดการทำงานในรถยนต์ไฮบริด ซึ่งระบบควบคุมไฮบริดจะทำการควบคุมการทำงานโดยจะให้มอเตอร์ MG2 ทำงานเพียงอย่างเดียวโดยเครื่องยนต์จะไม่ทำงาน

 

จุดประสงค์ของการใช้งาน ปุ่ม EV Mode

เพื่อลดเสียงรบกวนจากการที่เครื่องยนต์ทำงาน เช่น เมื่อใช้เข้าและออกจากโรงจอดรถ รวมทั้งลดการปล่อยควันไอเสียในโรงจอดรถเท่านั้น ไม่ได้มีเอาไว้เพื่อขับขี่ประหยัดน้ำมัน เนื่องจากพอแบตเตอรี่ลดลงระบบก็จะออกจาก EV Mode และติดเครื่องยนต์ขึ้นมาทำการชาร์จไฟในทันที และจะชาร์จไปจนกว่าจะถึง ค่า SOC ของแบตเตอรี่ไฮบริดตามที่ระบบกำหนด

 

สถานการณ์ไหนที่ไม่สามารถใช้งานโหมด EV ได้

– ระบบไฮบริดร้อนจัด เช่น การขับขี่ขึ้นทางลาดชัน/ขับขี่มาด้วยความเร็วสูง/จอกรถเอาไว้ในพื้นที่ร้อนจัด ซึ่งหากระบบควบคุมไฮบบริดร้อนจัด ระบบก็จะไม่ยอมให้โหมด EV ทำงาน เนื่องจากจะทำให้เกิดความร้อนเพิ่มขึ้นได้
– ระบบควบคุมไฮบริดเย็นจัด ในสภาวะที่อุณหภูมิต่ำกว่า 0 องศาเซลเซียส ระบบควบคุมไฮบริดก็จะไม่ยอมให้โหมด EV ทำงาน
– เครื่องยนต์กำลังอุ่นอยู่, ค่า SOC ของแบตเตอรี่ไฮบริดต่ำ (ไฟในแบตเตอรี่ไฮบริดต่ำกว่า 40 %), เหยียบแป้นคันเร่งสุดหรือขับรถขึ้นทางลาดชัน, เปิดไล่ฝ้า, อุณหภูมิของแบตเตอรี่ไฮบริด สูงหรือต่ำเกินเกินไป, เครื่องยนต์ทำงานเพื่ออุ่นอุปกรณ์แปรสภาพก๊าซไอเสีย, รหัสวิเคราะห์ปัญหาถูกเก็บบันทึก

 

ทำไมปุ่ม EV Mode จึงไม่ควรกดใช้เวลาขับรถขึ้นเขา

เนื่องจากเงื่อนไขในการทำงานของ EV Mode ในระบบควบคุมไฮบริด จะกำหนดเอาไว้จะไม่ยอมให้ระบบ EV Mode ทำงานหนึ่งในเงื่อนไขคือการขับรถขึ้นเขา เมื่อระบบตรวจพบภาระการทำงานก็จะประเมินว่ากำลังมีการขึ้นเขาอยู่ ระบบจะยับยั้งไม่ให้ EV Mode ทำงาน หรือหากกดใช้งาน EV Mode บนทางราบ หลังจากนั้นขับขึ้นเขาเมื่อระบบตรวจพบภาระจากการเหยียบคันเร่งและความต้องการใช้ไฟที่มากขึ้นในการขับเคลื่อนมอเตอร์ปีนป่ายขึ้นทางชัน ระบบก็จะทำการยกเลิก EV Mode ลงทันที

 

อย่างไรก็ตามปุ่ม EV Mode มีไว้เพื่อลดเสียงรบกวนของจากการที่เครื่องยนต์ทำงาน เช่น เมื่อใช้เข้าและออกจากโรงจอดรถ รวมทั้งลดการปล่อยควันไอเสียในโรงจอดรถเท่านั้น ไม่ได้มีเอาไว้ใช้งานทั่วไปและมีระยะทางในการขับที่สั้น จึงไม่ได้ช่วยประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงแต่อย่างใด ดังนั้นกับคำถามที่ว่า ทำไมปุ่ม EV Mode จึงไม่ควรกดใช้เวลาขับรถขึ้นเขา สาเหตุก็เนื่องจากอยู่ในเงื่อนไขที่ระบบควบคุมไฮบริดจะไม่ยอมให้ EV Mode ทำงานนั่นเองครับ

 

สายพานสายพาน

 

เรื่องที่น่าสนใจอื่นๆ

อัพเดท : 19 พฤษภาคม 2568

กิจกรรม Fortuner Exclusive Experience Day

เปิดโลก

เปิดประสบการณ์ใหม่ๆ ไปกับ Fortuner…
ผ่านไปเรียบร้อยสำหรับกิจกรรม Fortuner Exclusive Experience Day ซึ่งได้รวบรวมรถยนต์ Fortuner หลากรุ่นมาให้คนรักรถใหญ่ได้ชมกันแบบจุใจ แถมยังมีเวิร์คช้อปแสนสนุกมาให้ลูกค้าได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างสรรค์ชิ้นงานที่มีเพียงหนึ่งเดียวในโลกอีกด้วย

มีมาให้ร่วมกันเรื่อยๆ สำหรับกิจกรรมที่ทางโตโยต้า เค.มอเอตร์ส จัดขึ้นให้เหล่าลูกค้าที่แสนน่ารักได้ร่วมสนุก ล่าสุดได้จัดกิจกรรม Fortuner Exclusive Experience Day นำรถ Fortuner หลากหลายรุ่นมาให้ได้ชมกับแบบจุใจ และสิ่งที่ไม่เคยขาดสำหรับอีเวนท์ คือ การจัดบูธอะไหล่พร้อมกับช่างเคสุดหล่อ ที่อยู่ประจำ รอให้คำแนะนำลูกค้าทุกท่านที่แวะเวียนมาถามไถ่กันเรื่อยๆ

พิเศษ..สุดๆ สำหรับงานนี้ เรายกกิจกรรมเวิร์คช้อปทำ Keychain มาให้ลูกค้าได้ร่วมสนุกด้วย มาพร้อมลูกปัดหลายหลายแบบ ให้ได้เลือกเพลิดเพลินกับการเลือกสรร สร้างไอเทมสำหรับคุณที่มีเพียงชิ้นเดียวในโลกเท่านั้น งานนี้ลูกค้าแฮปปี้สุดๆ มากันทั้งเดี่ยว มาคู่ มาเป็นครอบครัว ซึ่งร่วมใจกันทำอย่างมุ่งมั่น เป็นภาพที่น่ารักมากๆ

ใครที่พลาดโอกาสนี้…เค.มอเตอร์ส ยังมีกิจกรรมอีกเรื่อยๆ อย่าลืมติดตามข่าวสาร แล้วไปร่วมงานกันนะครับ

 

Fortuner Fortuner Fortuner
Fortuner Fortuner Fortuner
Fortuner Fortuner Fortuner
Fortuner Fortuner Fortuner
Fortuner Fortuner Fortuner
Fortuner Fortuner Fortuner
Fortuner Fortuner Fortuner
Fortuner Fortuner Fortuner
Fortuner Fortuner Fortuner
Fortuner Fortuner Fortuner
   Fortuner Fortuner Fortuner
Fortuner Fortuner Fortuner
        Fortuner Fortuner Fortuner
Fortuner Fortuner Fortuner
Fortuner Fortuner Fortuner

 

 

อัพเดท : 19 พฤษภาคม 2568

Diff Lock คืออะไร ใช้อย่างไรให้ได้ประสิทธิภาพ

ทำงานอย่างไร

แต่ละแบบใช้งานแตกต่างกันอย่างไร…
Diff-Lock คือระบบล็อกเฟืองท้าย ซึ่งส่วนมากจะติดตั้งอยูกับรถขับเคลื่อนสี่ล้อโดยจะติดตั้งอยู่ที่ชุดเฟืองท้ายหลังเป็นหลัก แต่ในรถบางรุ่นก็จะมีการติดตั้ง Diff-Lock เพิ่มเข้าไปที่เฟืองท้ายหน้า เพื่อใช้งานในทางออฟโรดที่ยากลำบาก เมื่อระบบ Diff-Lock ทำงานระบบล็อกเฟืองท้ายจะบังคับให้ล้อทั้งหมดหมุนด้วยความเร็วเท่ากัน

        โดยส่งกำลังไปที่ล้อด้านซ้ายและด้านขวาแบบ 50:50 โดยไม่คำนึงถึงแรงยึดเกาะ ซึ่งมีประโยชน์ในกรณีที่ขับที่บนถนนที่ยากลำบาก เช่นบนทางออฟโรด ถ้าล้อด้านใดด้านหนึ่งลอยจากพื้น ล้อด้านที่ลอยก็จะหมุนฟรี ทำให้ไม่สามารถขับเคลื่อนไปได้ แต่ถ้าเปิดให้ระบบ Diff-Lock ทำงาน จากที่แรงขับเคลื่อนอยู่ที่ล้อที่หมุนฟรี 100 % ก็จะถูกแบ่งไปที่ล้อตรงข้าม 50 % ทำให้ส่งกำลังไปที่ล้อด้านซ้ายและด้านขวาเป็นแบบ 50:50 โดยไม่คำนึงถึงแรงยึดเกาะ ก็จะทำให้มีแรงปีนป่ายให้รถเคลื่อนที่ไปในทิศทางที่ต้องการได้

 

ประเภทการทำงานของ Diff-Lock

1. แบบทำงานอัตโนมัติ ( Auto Diff Lock) แบบนี้จะมีเป็นชุดกลไกล้วน ๆที่อยู่ภายในชุดเฟืองท้าย เมื่อล้อด้านซ้ายหรือด้านขวาสูญเสียแรงยึดเกาะ (หมุนฟรี) ระบบล็อกเฟืองท้ายอัตโนมัติจะทำงานโดยอัตโนมัติ กลไกจะทำงานและทำการล็อกเพลาด้านซ้ายและด้านขวาให้ส่งกำลังเป็นแบบ 50:50 ทำให้ล้อทั้งสองข้างหมุนไปพร้อมกัน และระบบล็อกเฟืองท้ายจะปลดล็อก เมื่อได้แรงยึดเกาะ (หยุดหมุนฟรี) คืนมา

2. แบบทำงานด้วยแรงดันลม (Air Locker) ใช้แรงดันลมในการดันสลักให้ชุดเฟืองท้ายล็อก เพื่อให้เพลาด้านซ้ายและด้านขวาให้ส่งกำลังเป็นแบบ 50:50 ทำให้ล้อทั้งสองข้างหมุนไปพร้อมกัน โดยคนขับจะต้องทำการกดสวิตช์เพื่อไปควบคุมการเปิดแรงดันลม เมื่อต้องการเปิดให้ Diff-Lock ทำงานและกดปิดสวิตช์เมื่อไม่ได้ใช้งาน

3. แบบใช้สายสลิงไปดึงให้กลไก Diff-Lock ทำงาน หรือและปลดเมื่อไม่ใช้งาน

4. แบบทำงานด้วยไฟฟ้า (Electronic Differntial Lock) แบบนี้จะใช้แอ็คคูเอเตอร์มอเตอร์หรือขดลวดสนามแม่เหล็กในการไปทำให้กลไก Diff-Lock ทำงาน โดยคนขับเพียงแค่กดสวิตช์เปิดเมื่อต้องการให้ทำงานและกดปิดเมื่อไม่ใช้งาน ซึ่งปัจจุบันจะนิยมใช้แบบไฟฟ้าในการควบคุม Diff-Lock

 

การใช้งานระบบ Diff-Lock

         Diff-Lock จะใช้งานได้เมื่อระบบขับเคลื่อนอยู่ในตำแหน่งขับเคลื่อน 4 ล้อ ความเร็วต่ำ (L4) เท่านั้น และควรใช้งานในกรณีที่จำเป็น เช่น ในการขับในเส้นทางที่ลื่นมากๆ หรือลุยในเส้นทางต่างระดับที่ทำให้ล้อแขวน หรือล้อใดล้อหนึ่งลอยขึ้น และต้องวิ่งด้วยความเร็วต่ำ ไม่ควรเกิน 30 กม./ชม หลังจากผ่านอุปสรรค์ได้แล้ว ให้เราหยุดใช้ Diff-Lock ทันที เพราะหากเราเปิดทิ้งไว้ จะทำให้รถเลี้ยวได้ยากมากและจะมีวงเลี้ยวกว้างกว่าปกติ หรือทำให้ล้อขืนในขณะเข้าโค้ง ยากต่อการควบคุมรถ และระบบอาจเกิดความเสียหายได้ หากวิ่งด้วยความเร็วสูง
โดยสรุป Diff-Lock คือระบบที่มีอยู่ในรถขับเคลื่อนสี่ล้อมีไว้สำหรับล็อกเฟืองท้าย โดยจะติดตั้งอยู่กับรถขับเคลื่อนสี่ล้อที่เฟืองท้ายหลังเป็นหลัก แต่ในรถบางรุ่นก็จะมีการติดตั้ง Diff-Lock เพิ่มเข้าไปที่เฟืองท้ายหน้าด้วย จุดประสงค์เพื่อใช้ล็อกเฟืองท้าย กรณีรถติดหล่มล้อแขวนหรือล้อลอย ให้สามารถผ่านอุปสรรคไปได้ ปัจจุบันในรถโตโยต้าจะติดตั้ง Diff-Lock แบบไฟฟ้า แบบติดตั้งที่ชุดเฟืองท้ายหลัง อยู่ในรถรุ่นฟอร์จูนเนอร์และรุ่นรีโว่ ที่เป็นรถขับเคลื่อน 4 ล้อ

 

 

สายพานสายพาน

 

 

เรื่องที่น่าสนใจอื่นๆ