อัพเดท : 17 กรกฎาคม 2568

เกียร์ S + – คืออะไร ใช้งานอย่างไร ใช้ตอนไหนดี?

ควบคุมเอง

ให้อารมณ์เหมือนขับรถเกียร์ธรรมดา…
ตำแหน่งเกียร์ S ในระบบเกียร์อัตโนมัติ คือตำแหน่งเกียร์แบบ Sport ที่จะทำให้ลากรอบของเครื่องยนต์สูงขึ้น เกียร์เปลี่ยนช้าลง มีจุดประสงค์ในการใช้ระบบเกียร์เพื่อฉุดลากรถให้เคลื่อนที่ไปข้างหน้าเร็วขึ้น โดยการใช้รอบเครื่องยนต์ที่สูงมากขึ้นกว่าปกติ

เมื่อเทียบกับตำแหน่งเกียร์ D เพื่อเพิ่มความรวดเร็วในการเร่งแซง และตอบสนองต่อการขับขี่ที่รีบเร่ง แบบ Sport แต่ก็ต้องแลกกับอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงที่เพิ่มขึ้นมากกว่าในตำแหน่งเกียร์ D เกียร์ S + / –


ตำแหน่ง เกียร์ S ในระบบเกียร์อัตโนมัติ และมีสัญลักษณ์ + / – คือตำแหน่งเกียร์แบบ Sport ที่สามารถเปลี่ยนเกียร์ หรืออัตราทดเกียร์โดยผู้ขับขี่เอง ซึ่งจะเปลี่ยนเกียร์ขึ้นหรือลงเองโดยผู้ขับขี่เหมือนกับรถเกียร์ธรรมดา เช่น รถรีโว่ เกียร์อัตโนมัติ 6 Speed ถ้าอยู่ในตำแหน่งเกียร์ D ระบบควบคุมเกียร์อัตโนมัติจะทำการเปลี่ยนเกียร์ ขึ้นลงจากเกียร์ 1-2-3-4-5-6 ตามสัญญาณความเร็วรอบเครื่องยนต์/ความเร็วรถ/ตำแหน่งแป้นคันเร่ง/ ตำแหน่งเกียร์ และจะคำนวณ ควบคุมการเปลี่ยนเกียร์จากเกียร์ 1-2-3-4-5-6 ขึ้นหรือลงให้เหมาะสม แต่ถ้าเลือกตำแหน่งเกียร์ S + / – ผู้ขับขี่จะต้องเปลี่ยนเกียร์ขึ้น/หรือลง จากเกียร์ 1-2-3-4-5-6 หรือเปลี่ยนเกียร์ลงจากเกียร์ 6-5-4-3-2-1 ด้วยผู้ขับขี่เอง โดยตำแหน่งเกียร์จะแสดงให้เห็นที่หน้าปัดเรือนไมล์แจ้งตำแหน่งเกียร์ในขณะนั้นๆ

 

การใช้งานตำแหน่งเกียร์ S + / –

 

          กรณีเลือกใช้เกียร์ S + / – ตั้งแต่ออกตัวจากจุดหยุดนิ่ง เมื่อผลักคันเกียร์จากตำแหน่งเกียร์ D มาที่เกียร์ S +/- คันเกียร์จะอยู่ตรงกลางระหว่างสัญลักษณ์ + กับ – ระบบควบคุมเกียร์อัตโนมัติจะควบคุมให้อัตราทดเกียร์อยู่ในตำแหน่งเกียร์ 4 เพื่อลดอาการเกียร์กระตุก 4 โดยตำแหน่งเกียร์จะแสดงให้เห็นที่หน้าปัดเรือนไมล์ หากเหยียบคันเร่งออกตัวไปรถจะไม่มีกำลัง เนื่องจากอยู่ที่ตำแหน่งเกียร์ 4 ไม่มีแรงบิดในการออกตัว ดังนั้นผู้ขับขี่จะต้องทำการเปลี่ยนเกียร์มาที่เกียร์ 1 โดยการผลักคันเกียร์ไปด้านสัญลักษณ์ลบ ( – ) 3 ครั้ง เกียร์ก็จะเปลี่ยนจากเกียร์ 4 – 3 – 2 – 1 ดูตำแหน่งเกียร์ได้จากหน้าปัด เมื่อตำแหน่งเกียร์แสดงที่เกียร์ 1 แล้ว จากนั้นจึงทำการเหยียบคันเร่งออกตัวไป เมื่อรอบของเครื่องยนต์อยู่ที่ประมาณ 1,600 – 2,000 รอบ/นาที ให้ทำการผลักคันเกียร์ไปด้านบวก ( + ) เพื่อเพิ่มเกียร์ไปเป็นเกียร์ 2 ,3 ,4 , 5 , 6 ให้เหมาะสมตามความเร็วรถ และเมื่อต้องการลดความเร็วลงก็ต้องผ่อนคันเร่งและลดเกียร์ลง โดยผลักคันเกียร์ไปที่ด้านลบ ( – ) เพื่อลดเกียร์ลงให้เหมาะสมกับความเร็วรถ

 

กรณีเลือกใช้เกียร์ S + / – ในขณะขับขี่

 

          กรณีขับขี่อยู่ที่ตำแหน่งเกียร์ D แล้วต้องการจะเปลี่ยนไปที่เกียร์ S + / – สามารถผลักไปที่เกียร์ S ได้เลย โดยความเร็วไม่ควรสูงเกิน 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง เนื่องจากหลังผลักคันเกียร์จาก D มาที่เกียร์ S ระบบควบคุมเกียร์อัตโนมัติจะควบคุมให้อัตราทดเกียร์อยู่ในตำแหน่งเกียร์ 4 หากอยู่ที่ความเร็วสูงกว่านี้อาจจะทำให้รถมีอาการหัวทิ่มได้ แต่ถ้าอยู่ที่ความเร็วต่ำเวลาเหยียบคันเร่งก็จะไม่มีกำลัง ดังนั้นหลังจากที่ผู้ขับขี่ผลักคันเกียร์มาที่เกียร์ S แล้วจะต้องเพิ่มหรือลดเกียร์ให้เหมาะสมกับความเร็วรถในขณะนั้นด้วย โดยการผลักคันเกียร์ไปด้านบวก (+) หรือด้านลบ (-) เพื่อทำการปรับตำแหน่งเกียร์ให้เหมาะสมกับความเร็วรถ

          ดังนั้นเกียร์ S +/- คือเกียร์อัตโนมัติแบบ Sport ที่สามารถเปลี่ยนเกียร์ ขึ้นหรือ เปลี่ยนเกียร์ลงเองโดยผู้ขับขี่โดยหากผลักไปด้านบวก (+) จะเป็นการเพิ่มเกียร์ ผลักไปด้านลบ (-) จะเป็นการลดเกียร์ลง โดยจะเพิ่มหรือลดเกียร์ครั้งละ 1 เกียร์ เหมือนกับรถเกียร์ธรรมดา โดยตำแหน่งเกียร์จะแสดงให้เห็นที่หน้าปัดว่าอยู่ในตำแหน่งเกียร์ไหน เพื่อให้ผู้ขับขี่ทราบและเปลี่ยนเกียร์ให้เหมาะสมกับความเร็วรถและสภาวะในการขับขี่ เมื่อผลักคันเกียร์จากเกียร์ D มาที่เกียร์ S ระบบควบคุมเกียร์อัตโนมัติจะควบคุมให้อัตราทดเกียร์อยู่ในตำแหน่งเกียร์ 4 ไม่ว่ากรณีจอดอยู่ที่หรือในขณะขับขี่อยู่ เพื่อให้ไม่เกิดอาการหัวทิ่มควรใช้ความเร็วไม่เกิน 100 กิโลเมตร/ชั่วโมงเวลาเปลี่ยนจากเกียร์ D มาที่เกียร์ S โดยเกียร์ S + / – มีไว้ใช้สำหรับเร่งแซง หรือใช้ในเวลาเร่งรีบหรือเมื่อต้องการเปลี่ยนเกียร์เองโดยผู้ขับขี่ที่ต้องการอารมณ์เหมือนขับรถเกียร์ธรรมดา และที่สำคัญมีเอาไว้ใช้สำหรับขึ้น/ลงทางชันเพื่อลดการใช้เบรกครับ

 

สายพานสายพาน

 

เรื่องที่น่าสนใจอื่นๆ

อัพเดท : 9 กรกฎาคม 2568

เลขทะเบียนรถมงคล ตามวันเกิด

เลขไหนดี

เลขไหนเสริมความมงคลตามวันเกิด…

เลขมงคลตามวันเกิดก็เป็นส่วนหนึ่งของความเชื่อที่ว่าถ้าเลขทะเบียนรถดี ก็จะนำพาความสุขและส่งเสริมชีวิตในด้านต่างๆ ให้รุ่งเรือง แต่ไม่ใช่ทุกเลขจะเหมาะกับคุณ เลขนั้นที่คุณชอบอาจเหมาะกับคนอื่นไม่เหมาะกับคุณ แล้วมีเลขไหนเหมาะกับคุณบ้าง เช็คตามวันเกิดได้เลย…

เลขทะเบียนรถมงคล ตามวันเกิด

 

วันอาทิตย์

เลขดี 1, 5, 7, 9
เลขที่ควรเลี่ยง 6, 3
ตัวอักษรที่ควรเลี่ยง ศ ษ ส ห ฬ ฮ

 

วันจันทร์

เลขดี 2, 4, 6, 8, 0
เลขที่ควรเลี่ยง 1, 5
ตัวอักษรที่ควรเลี่ยง อ

 

วันอังคาร

เลขดี 3, 5, 6
เลขที่ควรเลี่ยง 1, 2
ตัวอักษรที่ควรเลี่ยง ก ข ค ฆ ง

 

วันพุธ (กลางวัน)

เลขดี 7, 8, 6, 5
เลขที่ควรเลี่ยง 3, 8
ตัวอักษรที่ควรเลี่ยง จ ฉ ช ซ ฌ ญ

 

วันพุธ (กลางคืน)

เลขดี 7, 8, 6
เลขที่ควรเลี่ยง 5, 4
ตัวอักษรที่ควรเลี่ยง บ ป ผ ฝ พ ฟ ภ ม

 

วันพฤหัสบดี

เลขดี 2, 4, 6, 8
เลขที่ควรเลี่ยง 7
ตัวอักษรที่ควรเลี่ยง ด ต ถ ท ธ น

 

วันศุกร์

เลขดี 1, 3, 5, 7, 9
เลขที่ควรเลี่ยง 7, 8
ตัวอักษรที่ควรเลี่ยง ย ร ล ว

 

วันเสาร์

เลขดี 1, 5, 7, 9
เลขที่ควรเลี่ยง 4, 6
ตัวอักษรที่ควรเลี่ยง ฎ ฏ ฐ ฑ ฒ ณ

 

3 เลขมงคลที่ควรมีในทะเบียนรถ

เลข 7 : เป็นเลขมงคลสำหรับชาวญี่ปุ่น ที่เชื่อว่าเป็นเลขแห่งความโชคลาภ กล้าหาญ อดทน
เลข 8 : คนจีนเชื่อว่าจะช่วยทำให้ทำมาค้าขึ้น เจริญรุ่งเรือง ส่งเสริมให้ร่ำรวย
เลข 9 : เลขที่ช่วยส่งเสริมความเจริญก้าวหน้า ก้าวไกล และมีอายุยืน

 

  อ่านบทความที่น่าสนใจ

อัพเดท : 4 กรกฎาคม 2568

โตโยต้า เค.มอเตอร์ส มอบ 2 ล้าน สมทบกองทุนสาขามะเร็งนรีเวชวิทยา มูลนิธิแพทยศาสตร์จุฬาลงกรณ์

สนับสนุน

ส่งเสริมด้านการพัฒนาเพื่อรักษาผู้ป่วยมะเร็ง
คณะผู้บริหาร บริษัทโตโยต้า เค.มอเตอร์ส ผู้จำหน่ายโตโยต้า จำกัด ร่วมมอบเงินสนับสนุนเข้าสมทบกองทุนสาขามะเร็งนรีเวชวิทยา มูลนิธิแพทยศาสตร์จุฬาลงกรณ์ จำนวน 2,000,000 บาท เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในด้านการศึกษา ค้นคว้า และเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือผู้ป่วย ..

บริษัท โตโยต้า เค.มอเตอร์ส ผู้จำหน่ายโตโยต้า จำกัด โดย คุณจิรเดช สมภพรุ่งโรจน์ คุณกนก สมภพรุ่งโรจน์ และคุณชัยพร สมภพรุ่งโรจน์ รองกรรมการผู้จัดการ ร่วมมอบเงินสนับสนุนจำนวน 2,000,000 บาท สมทบเข้ากองทุนสาขามะเร็งนรีเวชวิทยา มูลนิธิคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ เพื่อใช้จัดซื้อเครื่องมือทางการแพทย์ อุปกรณ์ ครุภัณฑ์ ส่งเสริมและสนับสนุนการเรียนการสอน และการดำเนินการวิจัย โดยมี ศาสตราจารย์นายแพทย์เรืองศักดิ์ เลิศขจรสุข หัวหน้าภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา และผู้ช่วยศาสตราจารย์นายแพทย์นครินทร์ ศิริทรัพย์ ผู้ช่วยคณบดีฝ่ายวางแผนและพัฒนา เป็นผู้รับมอบ ณ ห้องประชุม สำนักงานคณบดี ชั้น 6 อาคารอานันทมหิดล คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2568

 

เค.มอเตอร์ส

 

อัพเดท : 16 มิถุนายน 2568

กระจก โดนน้ำหรือฝน แต่เปิดปัดแล้วฝืด มีเสียงดัง ผิดปกติไหม

ปัดไม่ไป

เกิดปัญหา หรือทำให้กระจกพังหรือไม่…
ใบปัดน้ำฝนมีเอาไว้ใช้งานในการปัดทำความสะอาดกระจกบังลมหน้า และกระจกบังลมหลังในรถบางรุ่น ซึ่งเวลาที่จะใช้งานปัดน้ำฝนจำเป็นจะต้องมีน้ำฉีดกระจกหรือน้ำฝนเป็นตัวช่วยในการปัด เพื่อไม่ให้กระจกและยางปัดน้ำฝนสัมผัสกันโดยตรง

ป้องกันไม่ให้กระจกเกิดความเสียหายจากฝุ่นทรายที่อยู่ตามกระจก หรือทำให้ยางใบปัดน้ำฝนมีอายุการใช้งานที่สั้นลง อีกทั้งไม่ให้ยางเกิดอาการฝืดและมีเสียงดังผิดปกติเวลาปัดน้ำฝน กรณีที่กระจกโดนน้ำหรือฝน แต่เปิดใบปัดน้ำฝนแล้วมีอาการฝืดและมีเสียงดังถ้าเกิดขึ้นตอนปัดครั้งแรกๆ เป็นเรื่องปกติ แต่หากความฝืดหรือเสียงดังนั้นเกิดขึ้นตลอดเวลาถือว่าผิดปกติ ซึ่งสาเหตุเกิดขึ้นจากอะไรได้บ้างนั้นไปดูกันครับ…


สาเหตุที่ทำให้ปัดน้ำฝนฝืดและมีเสียงดัง

1.กระจกสกปรก การที่ไม่ได้ทำความสะอาดกระจกเป็นประจำจะทำให้กระจกสกปรกมีคราบน้ำ คราบฝน หรือคราบมันต่างๆ จากมลภาวะ สิ่งเหล่านี้จะทำให้ที่ปัดน้ำฝนเกิดแรงเสียดทานและเสียงดังตามมา ดังนั้นจำเป็นจะต้องทำความสะอาดกระจก และใช้น้ำยาล้างกระจก เติมในหม้อพักน้ำฉีดกระจก เพื่อช่วยทำความสะอาดคราบมันและสิ่งสกปรกที่ติดอยู่ออกไป เวลาฉีดน้ำล้างกระจกควรช้ปัดน้ำฝนปัดทำความสะอาดกระจกทุกครั้ง

2. ยางใบปัดน้ำฝนเสื่อมสภาพ ยางใบปัดน้ำฝนเสื่อมสภาพมีรอยฉีกขาด หรือเนื้อยางปัดน้ำฝนแข็ง ทำให้ไม่สามารถปัดน้ำได้อย่างลื่นไหล ปัดไม่สะอาดและมีเสียงดังตามมาในที่สุด

3. ใช้น้ำยาเคลือบกระจก น้ำยาเคลือบกระจกบางชนิด อาจทำให้กระจกมีความฝืดมากขึ้น และเมื่อใช้กับที่ปัดน้ำฝนจะทำให้เกิดความฝืดและมีเสียงดังเกิดขึ้นได้ ดังนั้นจะต้องตรวจสอบให้ดีว่าเป็นสาเหตุของปัดน้ำฝนฝืดหรือเสียงดังหรือเปล่า

4.ก้านที่ปัดน้ำฝนเสื่อมสภาพ หรือเสียรูป ก้านที่ปัดน้ำฝนเสื่อมสภาพ หรือเสียรูป เช่นหากก้านปัดน้ำฝนหลวมคลอน สปริงก้านปัดน้ำฝนล้าตัว ทำให้ที่ปัดน้ำฝนทำงานไม่ถูกต้องเกิดการการสะดุดหรือสะบัดและก็จะทำให้มีเสียงดังหรือฝืดตามมา

ดังนั้นหากพบว่า เมื่อกระจกโดนน้ำหรือฝน แต่เปิดปัดน้ำฝนแล้วฝืด มีเสียงดัง เป็นสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุจะต้องตรวจสอบหาสาเหตุให้ดีก่อนดำเนินการแก้ไข เพื่อให้กระจกกลับมาสะอาดไม่มีเสียงดังเวลาใช้งาน เพื่อทัศนวิสัยในการมองเห็นที่ดีและเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถของผู้ขับขี่เองและเพื่อนร่วมทาง

 

สายพานสายพาน

 

เรื่องที่น่าสนใจอื่นๆ

อัพเดท : 13 มิถุนายน 2568

ทายนิสัย จากสีรถที่ใช้..

บอกอะไร

แต่ละสีบ่งบอกอะไรได้บ้าง…
สีรถยนต์แต่ละสี ก็สามารถบ่งบอกนิสัยของเจ้าของรถได้ ว่าเป็นคนแบบไหน ชื่นชอบอะไร ไม่ชอบอะไร ถึงแม้จะเป็นสิ่งเล็กๆ น้อยๆ แต่ก็ทำให้สามารถทำความรู้จักกับเจ้าของรถได้ง่ายกว่า เดิม แล้วแต่ละสีบอกอะไรได้บ้าง มาดูกันครับ…

1. รถยนต์สีแดง เป็นคนสนุกสนาน กระตือรือร้น ละเอียด และมีคาแรคเตอร์ที่โดดเด่น เช่น กล้าหาญ คล่องแคล่ว มีความทะเยอทะยาน แต่มีข้อเสียคือ มีความอดทนน้อย


2. รถยนต์สีน้ำตาลและสีส้ม
เป็นคนรักอิสระ ง่ายๆ สบายๆ ชอบการแข่งขัน แต่ก็มีความอ่อนโยน


3. รถยนต์สีเหลือง
เป็นคนยึดมั่นในความคิด ฉลาดและอบอุ่น ชอบเทคโนโลยีใหม่ๆ


4. รถยนต์สีเขียว
เป็นคนเข้ากับคนอื่นได้ยาก ไม่ชอบสังคม โลกส่วนตัวสูง


5. รถยนต์สีน้ำเงิน
เป็นคนช่างจินตนาการ ซื่อสัตย์ และมักไว้วางใจผู้อื่นเสมอ


6. รถยนต์สีชมพู
เป็นคนอ่อนหวาน มีความคิดสร้างสรรค์ เป็นที่รักใคร่ของผู้อื่น มีความโดดเด่นเฉพาะตัว และเดาทางได้ง่าย


7. รถยนต์สีเทาหรือสีเงิน
เป็นคนใจเย็น โมโหยาก แต่ชอบเก็บตัว


8. รถยนต์สีดำ
เป็นคนดื้อรั้น เจ้าระเบียบ โดนหลอกยาก เพราะมักไหวตัวทันเสมอ


9. รถยนต์สีขาว
มีนิสัยชอบค้นหา มองโลกในแง่ดี ชอบเปิดเผย และสามารถพึ่งพาได้ยามลำบาก

 

 

  อ่านบทความที่น่าสนใจ