อัพเดท : 27 สิงหาคม 2567

ลมยางควรเติมบ่อยแค่ไหน เติมเท่าไหร่ดี

แบบไหนดี

ตรวจสอบเพื่อความปลอดภัยในการขับขี่…
ก่อนที่จะรู้ว่าลมยางควรเติมบ่อยแค่ไหนและควรจะเติมเท่าไหร่ดี เรามาทำความเข้าใจกันก่อนครับว่าลมยางจะต้องเติมตอนไหนและหากไม่เติมลมยางมากไปหรือน้อยเกินไปจะส่งผลอย่างไรต่อยางและการขับขี่บ้างครับ

     เติมลมยางตอนไหน การเติม ลมยาง หรือ ตรวจสอบ ลมยาง จะต้องทำตอนที่ยางยังเย็นอยู่จึงจะวัดค่าได้ถูกต้องแม่นยำหรือขับขี่ไปได้ไม่เกิน 2 กิโลเมตร ซึ่งหากมีการวิ่งไปจนยางมีความร้อนจะต้องรออย่างน้อย 2-3 ชั่วโมง จึงจะสามารถตรวจสอบแรงดันลมยางให้ได้ค่าที่ถูกกต้องตามคู่มือที่ผู้ผลิตกำหนด

 

ชนิดของลมยางที่มีในปัจจุบัน


1. ลมยางธรรมดา คือ ลมยางที่มีอยู่ทั่วไปหาเติมได้ตามปั๊มน้ำมันทั่วไป คืออากาศที่เราใช้ในการหายใจ มีส่วนประกอบของ ก๊าซไนโตรเจน 78 % และก๊าซออกซิเจน 21 % ก๊าซเฉื่อย 1 % ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 0.03 % และก๊าซอื่น ๆ 0.01 % ซึ่งจะถูกดูดเข้าเครื่องปั๊มลมและถูกเติมเข้าไปในยาง ข้อดี คือ เติมฟรี ส่วนข้อเสีย คือ จะมีการขยายตัวเมื่ออุณหภูมิยางสูงขึ้น

2. ลมยางไนโตรเจน คือ การนำเอาอากาศที่เราหายใจไปเข้าเครื่องแยกก๊าซไนโตรเจนจนทำให้ได้ไนโตรเจนบริสุทธิ์อยู่ที่ประมาณ( 93 – 99%) ข้อดี คือ ลดอัตราการระเบิดของยางได้ เนื่องจากเป็นก๊าซเฉื่อยมีการขยายตัวช้า ไม่ทำให้ล้อเป็นสนิม ช่วยประหยัดน้ำมัน ไม่ต้องเติมลมยางบ่อย และช่วยให้การขับขี่นุ่มนวลขึ้น ส่วนข้อเสีย คือ มีค่าใช้จ่ายในการเติมประมาณ 200 บาท หรือมากกว่า ไม่สามารถหาเติมได้ทั่วไปเหมือนลมยางธรรมดา ในขั้นตอนการเติมครั้งแรกจะต้องมีการทำตามขั้นตอนที่ถูกต้อง จึงจะได้คุณภาพตามมาตรฐาน หากมีการนำไปเติมลมยางธรรมดาผสมคุณสมบัติก็จะกลายเป็นลมยางธรรมดาทันที

3. ลมยางอาร์กอน คือ การใช้ก๊าซอาร์กอนเติมเข้าไปในยางแทนลมยาง ข้อดี คือ ลดอัตราการระเบิดของยางได้ เนื่องจากเป็นก๊าซเฉื่อยมีการขยายตัวช้ากว่าก๊าซไนโตรเจน ไม่ทำให้ล้อเป็นสนิม ช่วยประหยัดน้ำมัน ไม่ต้องเติมลมยางบ่อย ช่วยให้การขับขี่นุ่มนวลขึ้น และข้อเสียคือ ราคาสูงกว่าลมยางไนโตรเจน หาเติมได้ยากกว่า หากมีการนำไปเติมลมยางธรรมดาผสมคุณสมบัติก็จะกลายเป็นลมยางธรรมดาทันที

 

การเติมลมยางมากเกินไปหรือน้อยเกินไป

 

      การเติมลมยางน้อยเกินไป จะทำให้สิ้นเปลืองเชื้อเพลิงมากขึ้น เพราะหน้ายางสัมผัสกับพื้นถนนมากขึ้น ทำให้ยางระเบิดได้ เนื่องจากหน้าสัมผัสของยางกับพื้นถนนมาก ทำให้เกิดความร้อนและลมยางเกิดการขยายตัว จนเกิดการะเบิดตามมา ทั้งยังทำให้ยางเกิดการสึกหรอเร็วกว่าปกติ โดยจะเกิดการสึกหรอบริเวณหน้ายางที่ด้านนอกและด้านในทั้งสองด้าน แต่ถ้าเติมลมยางมากเกินไป ถึงจะช่วยลดความสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงได้จากแรงต้านการหมุนที่น้อยลง แต่จะทำให้มีอาการแข็งกระด้างไม่นุ่มนวล ทำให้ช่วงล่างสึกหรอเร็วขึ้นและยังทำให้ยางสึกหรอที่หน้ายางบริเวณตรงกลางเร็วกว่าปกติ

      สรุปแล้วลมยางควรตรวจสอบหรือเติมอย่างน้อยเดือนละครั้ง เพื่อให้ลมยางอยูในค่ากำหนดอยู่เสมอ ยิ่งตรวจสอบยิ่งเติมให้อยู่ในค่ามาตรฐานยิ่งบ่อยยิ่งดี และจะต้องเติมให้อยู่ในค่ามาตรฐานที่ทางผู้ผลิตกำหนด โดยสามารถดูได้จากสติ๊กเกอร์ที่ติดอยู่ที่เสาประตูด้านคนขับหรือในคู่มือการใช้รถ และจำเป็นจะต้องเติมลมยางเพิ่ม 15 -20 % กรณีต้องขับเดินทางไกล หรือกรณีใช้ความเร็วสูงๆ รวมทั้งการบรรทุกหนักก็จำเป็นจะต้องเติมลมยางเพิ่มด้วยและต้องสลับยางทุกๆ 10,000 กิโลเมตร เพื่อให้ยางสึกหรอเท่าๆ กันเพื่อให้ใช้ยางได้คุ้มค่ามากที่สุดครับ

 

สายพานสายพาน

 

เรื่องที่น่าสนใจอื่นๆ

อัพเดท : 7 สิงหาคม 2567

ความหมายของดอกไม้ พวงมาลัย ไหว้รถยนต์….

รู้ไว้ใช่ว่า

ดอกไม้ที่คุณนำมาไหว้รถนั้นหมายถึงอะไร…
ดอกไม้แต่ละชนิดสื่อความหมายไม่เหมือนกัน มาดูกันว่าดอกไม้ ที่นำมาทำพวงมาลัยสำหรับไหว้รถยนต์ แต่ละดอกหมายความว่าอย่างไร และส่งเสริมในด้านใดบ้าง

การเลือกดอกไม้พวงมาลัย เพื่อเสริมความสิริมงคลให้กับชีวิต และ การขับขี่ก็เป็นอีกศาสตร์ความเชื่อของคนไทยที่มีมาช้านาน ซึ่งดอกไม้ที่ทำเป็น พวงมาลัย นั้นก็มีหลากหลายชนิด มาดูกันว่าดอกไหน หมายถึงและเสริมเรื่องอะไร เวลาเลือกซื้อ พวงมาลัย ห้อยรถจะได้ซื้อง่ายขึ้น……

 

ดอกกุหลาบ               เพิ่มความเสน่หา เป็นที่รักใคร่นิยมชมชอบ ส่งเสริมเรื่องความรัก
ดอกจำปา                  ช่วยเพิ่มโชคลาภวาสนาให้กับตนเองและครอบครัว
ดอกบานไม่รู้โรย      ส่งเสริมให้ชีวิตคู่มั่นคงและยืนยาว
ดอกกล้วยไม้            ช่วยให้ประสบความสำเร็จ ทำสิ่งใดมักราบรื่น ไร้อุปสรรค
ดอกเบญจมาศ        ส่งเสริมสิริมงคลในด้านหน้าที่การงาน
ดอกลิลลี่                   ทำให้สมหวัง คิดสิ่งใดก็สมปรารถนา
ดอกพุดตาน             เสริมสร้างบารมี เพิ่มความน่ายำเกรง เป็นที่ไว้วางใจ
ดอกดาวเรือง           ส่งเสริมให้การทำมาค้าขึ้น กิจการเจริญรุ่งเรือง ไม่ขัดสนเรื่องเงินทอง

 

 

อ่านบทความที่น่าสนใจ

อัพเดท : 5 สิงหาคม 2567

เก็บตกภาพกิจกรรม “เพื่อนคู่ใจสายครอบครัว กับ Veloz & Innova”

วาดภาพ

กิจกรรมแสนสุขสำหรับครอบครัว…
เมื่อวันเสาร์ ที่ 3 สิงหาคม ที่ผ่านมา โตโยต้า เค.มอเตอร์ส จัดกิจกรรม “เพื่อนคู่ใจสายครอบครัว กับ Veloz & Innova” นำรถยนต์สำหรับครอบครัวมาจัดโชว์ให้ชมกันแบบชัดๆ

พร้อมให้ลูกค้าและครอบครัวได้ร่วม Workshop เพ้นท์จานสุดหรรษา ด้วยแท่งสีที่หลากหลาย งานนี้มีครอบครัวทั้งคุณพ่อ คุณแม่ และคุณลูก จูงมือกันเข้าร่วมกิจกรรมกันมากมาย ภายใต้ใบหน้าเปื้อนยิ้มและความสุข สนุกสนาน และความสมัครสมานสามัคคีกัน ช่วยเหลือกันสร้างสรรค์จินตนาการลงบนจานใบเดียวกัน น้องๆ หลายคนสนุกจนจานใบเดียวไม่พอ ต้องมีเบิ้ล

 

และทุกความตั้งใจทั้งหมดของครอบครัวที่มาร่วมงาน เค.มอเตอร์ส จึงส่งมอบจานทุกใบที่ทุกคนรังสรรค์มอบเป็นของที่ระลึกกลับบ้านพร้อมของกำนัลเล็กๆ น้อยๆ จาก Veloz & Innova อีกด้วย

 

Veloz & Innova Veloz & Innova Veloz & Innova
Veloz & Innova Veloz & Innova Veloz & Innova
  Veloz & Innova

 

อัพเดท : 26 กรกฎาคม 2567

วิธีขับรถเกียร์ออโต้ 1 เท้า ที่ถูกวิธี

ปลอดภัย

ใช้ถูกวิธี ขับขี่ปลอดภัยทุกเส้นทาง…
ในปัจจุบันจำนวนรถเกียร์อัตโนมัติมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเนื่องจากให้ความสะดวกสบายในการขับขี่รวมทั้งเทคโนโลยีที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง จนทำให้อัตราการสิ้นเปลืองระหว่างรถเกียร์อัตโนมัติกับเกียร์ธรรมดาแทบจะไม่แตกต่างกันเหมือนแต่ก่อน ที่เกียร์อัตโนมัติจะมีการกินน้ำมันเชื้อเพลิงมากกว่าเกียร์ธรรมดา

        โดยจะเห็นได้ว่าเกียร์อัตโนมัติจะมีอยู่ในรถทุกรุ่นไม่ว่าจะเป็นรถเก๋งหรือรถกระบะ ซึ่งต่างจากในอดีตที่ส่วนใหญ่จะมีแต่ในรถเก๋งเท่านั้น ก่อนที่เราจะไปเรียนรู้ วิธีขับรถเกียร์ออโต้ เราไปดูกันก่อนว่าเกียร์ออโต้หรือเกียร์อัตโนมัติทำงานยังไงกันบ้างครับ


เกียร์อัตโนมัติถูกสร้างขึ้นเพื่อสร้างความสะดวกสบายให้กับผู้ขับขี่ โดยไม่ต้องคอยมาเหยียบคลัตช์ เพื่อคอยเปลี่ยนเกียร์เหมือนเกียร์ธรรมดา ระบบควบคุมการทำงานของเกียร์อัตโนมัติ จะใช้เซ็นเซอร์ในตรวจจับสัญญาณต่างๆ เช่น เซ็นเซอร์ตำแหน่งเกียร์/เซ็นเซอร์ความเร็วรถ/เซ็นเซอร์ความเร็วรอบของเครื่องยนต์/เซ็นเซอร์ตำแหน่งเกียร์/ เซ็นเซอร์แรงดันน้ำมันเกียร์/เซ็นเซอร์แพลารับเพลาส่งกำลัง/เซ็นเซอร์ตำแหน่งแป้นคันเร่งและอื่นๆ เพื่อนำมาใช้ในการคำนวณก่อนที่จะส่งสัญญาณไปควบคุมให้ชุดกลไกเฟืองเกียร์ และชุดคลัตช์ของเกียร์ทำงานเปลี่ยนเกียร์ขึ้น ลง โดยอัตโนมัติ ให้เหมาะสมกับความเร็วรอบของเครื่องยนต์และความเร็วรถ ตามสภาวะการทำงานให้มากที่สุด ผู้ขับขี่มีหน้าที่เพียงเลือกตำแหน่งเกียร์เดินหน้าหรือถอยหลัง และมีหน้าที่เพียงเหยียบคันเร่งและคอยเหยียบเบรกเท่านั้น

 

ก่อนอื่นมาทำความรู้จักอุปกรณ์ที่ผู้ขับขี่จะต้องใช้ควบคุมรถเกียร์อัตโนมัติกันครับ

1.คันเข้าเกียร์ ทำหน้าที่สำหรับเลื่อนเพื่อเลือกตำแหน่งเกียร์เมื่อต้องการใช้งาน

2.ตำแหน่งเกียร์ จะประกอบไปด้วย

– เกียร์ P (Parking) ใช้สำหรับจอดหรือสตาร์ตเครื่องยนต์
– เกียร์ R (Reverse) เกียร์ถอยหลัง
– N (Neutral) เกียร์ว่าง ใช้เมื่อต้องการจอดรถเพื่อให้สามารถเข็นได้
– D (Drive) หรือD4คือ เกียร์เดินหน้าที่ใช้ในการขับขี่ปกติ โดยเมื่อเปลี่ยนเกียร์มาที่ D แล้ว รถจะเริ่มออกตัว แล่นไปเองอย่างช้าๆ และเมื่อเหยียบคันเร่ง รถจะเริ่มเปลี่ยนเกียร์เองอัตโนมัติ โดยเริ่มจากเกียร์ 1 แล้วไปเกียร์ 2 แล้วไปเกียร์ 3 จนถึงสูงสุดที่เกียร์ 4 ขึ้นอยู่กับความเร็วของรถ , M (Manual) เกียร์เดินหน้าที่มีไว้สำหรับให้ผู้ขับขี่เปลี่ยนเกียร์เอง ให้อารมณ์เหมือนขับรถเกียร์ธรรมดา
– S (Sport) เกียร์ขับเดินหน้า ใช้สำหรับการขับขี่ที่ต้องการอัตราเร่งแซงทันใจ จะทำให้ลากรอบเครื่องยนต์ได้สูงขึ้นเร่งได้ทันใจ
– 2 หรือD2คือ ใช้งานในขณะที่ขับขี่รถยนต์ในเส้นทางที่มีความลาดชัน แต่ไม่สูงมาก และยังสามารถใช้ความเร็วได้พอสมควร
– L (Low) ใช้ในการขับรถขึ้น-ลง เส้นทางที่มีความลาดชันสูง และต้องใช้ความเร็วต่ำในการขับขี่ เมื่อลงเขาด้วยเกียร์ L จะเป็นการใช้เครื่องยนต์ช่วยเบรก หรือ Engine Brake เพื่อลดการเหยียบเบรกบ่อยๆ จนทำให้เบรกร้อนเกินไปจนเบรกไม่อยู่ได้
และในรถเกียร์อัตโนมัติรุ่นใหม่ๆ B (Brake) เป็นเกียร์ที่ใช้เหมือนเกียร์ L ในรถที่มีเกียร์ B ก็จะไม่มีเกียร์ L ซึ่งใช้ทดแทนกัน

3. แป้นเบรก นอกจากใช้ชะลอรถหรือหยุดรถแล้ว ยังใช้เหยียบเพื่อปลดล็อก ให้สามารถเลื่อนคันเกียร์ออกจากตำแหน่งเกียร์ P ไปตำแหน่งเกียร์ R ได้ ซึ่งจะมีชุดกลไกล็อกเอาไว้เพื่อความปลอดภัยไม่ให้เลื่อนคันเกียร์โดยไม่ได้ตั้งใจ . 4.แป้นคันเร่ง ทำหน้าที่ในการส่งสัญญาณตำแหน่งแป้นคันเร่งส่งให้กับทาง ECU เพื่อนำไปเป็นสัญญาณในการควบคุมเกียร์อัตโนมัติเปลี่ยนอัตราทดเกียร์ให้เหมาะสมตามสภาวะการเหยียบแป้นคันเร่ง

วิธีขับรถเกียร์ออโต้ 1 เท้า ที่ถูกวิธี คือ

– เหยียบเบรกทุกครั้งที่ทำการสตาร์ตเครื่องยนต์ใช้เท้าขวาเหยียบเบรกเมื่อต้องการสตาร์ตเครื่องยนต์ ส่วนเท้าซ้ายวางไว้ที่พักเท้าโดยให้ลืมไปเลยว่ามีเท้าซ้าย
– การขับเดินหน้าให้เหยียบเบรกแล้วเข้าเกียร์โดยเลื่อนคันเกียร์จากเกียร์ P ผ่าน R มาที่เกียร์ D,S,M เมื่อต้องการขับเดินหน้าจากนั้นค่อยๆ ปล่อยแป้นเบรก ให้รถเคลื่อนตัวอย่างช้าๆ แล้วใช้เท้าข้างขวาค่อยๆ เหยียบคันเร่งเพื่อเพิ่มความเร็วในการขับรถและหากต้องการชะลอความเร็วหรือหยุดรถก็ให้ยกเท้าขวาออกจากแป้นคันเร่งแล้วใช้เท้าขวาเหยียบเบรก
– ขับถอยหลังใช้เท้าขวาเหยียบเบรกแล้วเลื่อนเกียร์ไปที่ตำแหน่งเกียร์ R ปล่อยแป้นเบรก ให้รถเคลื่อนตัวอย่างช้าๆโดยไม่ต้องเหยียบคันเร่ง
– การจอดรถใช้เท้าขวาเหยียบเบรกและเลื่อนคันเกียร์ไปที่ตำแหน่งเกียร์ P แล้วดึงเบรกมือแล้วปล่อยเบรก
ดังนั้นสรุปได้ว่าการขับรถเกียร์ออโต้ที่ถูกวิธีให้ใช้เท้าขวาเพียงข้างเดียวในการเหยียบเบรกและเหยียบคันเร่งส่วนเท้าซ้ายให้วางเอาไว้ที่พักเท้าเท่านั้น ห้ามนำเท้าซ้ายมาใช้เหยียบเบรกเด็ดขาด เพราะในกรณีฉุกเฉินจะทำให้เกิดความสับสนและเกิดอุบัติเหตุรุนแรงตามมาได้ครับ

 

สายพานสายพาน

 

เรื่องที่น่าสนใจอื่นๆ

อัพเดท : 24 กรกฎาคม 2567

91 กับ 95 แบบไหนกินน้ำมันมากกว่ากัน เติมแบบไหนดี

เลือกยังไง

น้ำมันแบบไหนได้ประสิทธิภาพดีที่สุด….
คิดว่าคงสงสัยว่าตัวเลขที่เราเห็นตามปั๊มน้ำมันที่มีตัวเลขเบนซิน 91 หรือเบนซิน 95 หรือแก๊สโซฮอล์ 91 และ แก๊สโซฮอล์ 95 ตัวเลขที่ต่อท้ายชนิดของน้ำมันคือตัวเลขอะไร มีไว้ทำไมและจะต้องเติมแบบไหนดีเราไปดูกันครับ

91 กับ 95 คือ ค่าออกเทน (octane number)

ค่าออกเทน (octane number) หมายถึงตัวเลขที่แสดงเปอร์เซ็นต์ มวลไอโซออกเทนผสมระหว่างไอโซออกเทนและเฮปเทน ในน้ำมันเบนซินที่เราใช้กันอยู่ทุกวัน ตัวเลขนี้ใช้บ่งบอกขีดความ สามารถของน้ำมัน ในการต้านทานการน็อก (knocking) ของเครื่องยนต์ ซึ่งหากเครื่องยนต์ เกิดการน็อกขึ้นก็จะเกิดผลเสียต่อกำลังของเครื่องยนต์และทำให้ชิ้นส่วนของเครื่องยนต์เกิดความเสียหายได้ ตัวเลขค่าออกเทนในกรณีนี้ยิ่งสูงก็จะยิ่งดีต่อเครื่องยนต์

 

อัตราส่วนกำลังอัดของเครื่องยนต์

อัตราส่วนกำลังอัด คือ อัตราส่วนระหว่างปริมาตรความจุของกระบอกสูบ กับปริมาตรในกระบอกสูบในขณะที่ลูกสูบอยู่ศูนย์ตายบนเครื่องยนต์ที่มีอัตราส่วนกำลังอัดเท่ากับ 10 คือเครื่องยนต์ที่ลูกสูบสามารถบีบส่วนผสมในห้องเผาไหม้ให้เหลือเพียง 1 ใน 10 ของปริมาตรความจุของกระบอกสูบนั่นเอง เครื่องยนต์ยิ่งอัตราส่วนกำลังอัดมาก ถ้าฉีดน้ำเชื้อเพลิงเท่ากันย่อมมีแรงกระทำกับเพลาข้อเหวี่ยงมากกว่าเครื่องยนต์ที่กำลังอัดน้อยกว่า นอกจากนี้การที่เครื่องยนต์มีกำลังอัดที่สูง จะทำให้การเผาไหม้หมดจดมากขึ้น ประหยัดเชื้อเพลิงได้มากกว่า แต่มีข้อเสีย คือ เครื่องยนต์ที่มีอัตราส่วนกำลังอัดสูงคืออุณหภูมิในห้องเผาไหม้จะสูงทำให้ต้องใช้เชื้อเพลิงที่มีค่า Octane สูง ซึ่งราคาก็จะสูงตาม เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอาการ Engine knock หรือการที่มีการจุดระเบิดผิดเวลา ซึ่งจะทำให้เครื่องยนต์เสียหายได้

 

การออกแบบเครื่องยนต์เบนซินให้ตอบสนองต่อความต้องการใช้งาน

รถแต่ละรุ่นแต่ละยี่ห้อที่ทางผู้ผลิตทำการผลิตออกมาตอบสนองต่อความต้องการของผู้ขับขี่ที่มีความแตกต่างกัน เช่น รถใช้งานทั่วไปที่ไม่ต้องการกำลังของเครื่องยนต์มากมายก็จะออกแบบมาให้มีอัตราส่วนกำลังอัดที่ต่ำ ก็สามารถใช้น้ำมันเชื้อเพลิงที่มีค่าออกเทนต่ำได้ แต่ถ้ารถที่ต้องการกำลังของเครื่องยนต์มากขึ้นอัตราเร่งดีขึ้นก็ต้องเพิ่มอัตราส่วนกำลังอัดเพิ่มขึ้นตามไปด้วยมากกว่า และสิ่งที่ตามมาคือน้ำมันเชื้อเพลิงที่ใช้ก็ต้องเพิ่มค่าออกเทนให้สูงขึ้นตามไปด้วย ตามอัตราส่วนกำลังอัดที่เพิ่มขึ้น

 

ข้อสังเกตว่ารถเราเหมาะกับน้ำมันค่าออกเทนเท่าไหร่

ทางผู้ผลิตจะทำการระบุไว้ว่าเครื่องยนต์รุ่นที่ผลิตนั้นเหมาะสมกับน้ำมันที่มีค่าออกเทนเท่าไหร่ โดยผู้ใช้รถสามารถสังเกตได้จากสติ๊กเกอร์ที่ฝาถังน้ำมันเชื้อเพลิงด้านในที่ผู้ผลิตจะติดเอาไว้ แจ้งค่าออกเทนต่ำสุดของเครื่องยนต์เบนซินที่สามารถใช้ได้ ตามที่ผู้ผลิตกำหนด เช่น แก๊สโซฮอล์ 95 ความหมายคือรถเราสามารถเติมน้ำมัน ได้เฉพาะแก๊สโซฮอล์ 95 กับเบนซิน 95 ได้เท่านั้น หรือถ้าสติ๊กเกอร์แก๊สโซฮอล์ 91 ความหมายคือรถเราสามารถเติมน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91 เบนซิน 91 แก๊สโซฮอล์ 95 กับเบนซิน 95 ที่สูงกว่าได้ โดยปกติทั่วไปรถที่มีอัตราส่วนกำลังอัดของเครื่องยนต์ต่ำกว่า 10 : 1 จะใช้น้ำมันที่มีค่าออกเทน 91 หรือสูงกว่า และรถที่มีอัตราส่วนกำลังอัดของเครื่องยนต์สูงกว่า 10 : 1 ก็จะใช้น้ำมันที่มีค่าออกเทน 95 หรือสูงกว่า

 

ผลที่ตามมาหากเติมผิด

กรณีเครื่องยนต์ระบุให้เติมแก๊สโซฮอล์ 95 หากนำรถไปเติม แก๊สโซฮอล์ 91 หรือเบนซิน 91 ก็จะทำให้เครื่องยนต์เกิดอาการวิ่งไม่ออกอัตราเร่งลดลงและมีโอกาสทำให้เครื่องยนต์เกิดอาการน็อกได้ จะเกิดผลเสียต่อการสึกหรอของเครื่องยนต์ได้

กรณีเครื่องยนต์ระบุให้เติมแก๊สโซฮอล์ 91 หากนำรถไปเติม แก๊สโซฮอล์ 95 หรือเบนซิน 95 จะไม่มีผลเสียใดๆ กับเครื่องยนต์จากค่าออกเทนที่สูงขึ้น จะเกิดผลดีมากกว่าเนื่องจากค่าออกเทนที่สูงขึ้น ทำให้เครื่องยนต์ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพอัตราเร่งจะดีขึ้น แต่ก็ต้องแลกมากับราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่ต้องจ่ายเพิ่มขึ้นต่อลิตร

ดังนั้นถ้าเป็นรถเดิมๆ ที่ไม่ได้มีการปรับแต่งเครื่องยนต์ ก็ให้เติมตามค่าออกเทนตามที่ผู้ผลิตกำหนดมาให้หรือเติมค่าที่สูงกว่า เพื่อไม่ให้เกิดปัญหากับเครื่องยนต์ ส่วนอัตราการกินน้ำมันเชื้อเพลิงระหว่าง 91 กับ 95 ไม่ได้มีความแตกต่างกันมาก แต่การให้อัตราเร่งของ 95 จะดีกว่า 91 จากค่าออกเทนที่สูงกว่า รวมทั้งสารเพิ่มคุณภาพที่เติมเข้าไปแต่ราคาก็เพิ่มขึ้นก็ต้องลองบวกลบคูณหารดูก่อนตัดสินใจเติมครับรั่วครับ

 

 

สายพานสายพาน

 

เรื่องที่น่าสนใจอื่นๆ