อัพเดท : 14 กรกฎาคม 2565

ตั้งพระหน้ารถ ควรหันทางไหนดี?

ตรงไหนดี..

วางพระหันไปทางไหนถึงจะเสริมมงคลที่สุด
รถยนต์ของชาวพุทธ นอกจากรอยเจิมแล้ว รถหลายๆ คันยังมีการตั้งพระไว้หน้ารถ ซึ่งเป็นความเชื่อส่วนบุคคล เพื่อเสริมดวง เสริมสิริมงคล อีกทั้งยังเหมือนเป็นเครื่องเตือนใจให้ขับขี่อย่างระมัดระวังด้วย

ทั้งนี้การ ตั้งพระหน้ารถ หลายคนถกเถียงกันว่าควรหันทางทิศทางไหนดี ถึงจะดีที่สุด ซึ่งการ ตั้งพระหน้ารถ มีหลายแบบ แล้วแต่ความเชื่อของแต่ละบุคคล

 

สำหรับคนที่เชื่อในเรื่องของหลักฮวงจุ้ย ควร ตั้งพระหน้ารถ ให้หันหน้าออกไปทางหน้ารถ ทิศทางเดียวกันกับคนขับ ซึ่งตำแหน่งนี้จะช่วยเสริมดวง และเพื่อปกป้อง กันภัยอันตรายให้ผู้ขับขี่ และเชื่อว่าหากวางพระหันเข้าตัวรถอาจเกิดความขัดแย้งกับคนรอบข้างได้

 

ส่วนคนที่ไม่เชื่อในเรื่องของฮวงจุ้ย สามารถตั้งพระให้หันหน้าเข้าตัวรถได้ เพื่อความสบายใจ และเตือนใจให้มีสติตื่นรู้ตลอดการขับขี่

 

ข้อควรระวังในการตั้งพระหรือวัตถุมงคลหน้ารถ

 

1. เลือกขนาดให้เหมาะสม หากเล็กเกินไปอาจเกิดการหล่นหายหรือหลุดเข้าไปในพื้นที่การทำงานของรถยนต์ได้ และไม่ใหญ่เกินไปจนบังสายตาจากการขับขี่

2. วางในตำแหน่งปลอดภัย จุดที่ดีที่สุดคือต้องไม่บดบังทัศนวิสัยหรืออยู่ใกล้ฟังก์ชันการขับขี่ เพราะอาจขัดขวางการใช้งาน จนทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ เช่น ไม่ตั้งทับบนตำแหน่งของถุงลมนิรภัย เป็นต้น

3. ไม่วางเยอะเกินไป เพราะจะทำให้กินพื้นที่ เกะกะ และอาจเสี่ยงต่อการถูกโจรกรรมได้

 

 

 

อ่านบทความที่น่าสนใจ

อัพเดท : 14 กรกฎาคม 2565

ดับเครื่อง ลงเขา… ปล่อยเกียร์ว่าง ขับรถลงเขาได้เลย จริงหรอ?

อย่าหาทำ!!

เลี่ยงได้เลี่ยงถ้าไม่อยากเกิดการสูญเสีย…
อันตรายมาก ห้ามทำเด็ดขาด!! เพราะการที่ดับเครื่องยนต์จะทำให้ไม่มีการสร้างสุญญากาศจากเครื่องยนต์ไปให้หม้อลมเบรก หลังจากดับเครื่องยนต์ไปแล้วเราจะเหยียบเบรกได้แค่ครั้งเดียวสุญญากาศในหม้อลมเบรกก็จะหมดไป

การที่ ดับเครื่องลงเขา จะทำให้ไม่มีการสร้างสุญญากาศจากเครื่องยนต์ไปให้หม้อลมเบรก หลังจาก ดับเครื่องยนต์ ไปแล้ว เราจะเหยียบเบรกได้แค่ครั้งเดียวสุญญากาศในหม้อลมเบรกก็จะหมดไป จากนั้นก็จะทำให้หม้อลมเบรกไม่ทำงานแรงเบรกที่ไปกระทำที่ล้อก็จะไม่เพียงพอที่จะหยุดรถได้ ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุจากการเบรกไม่อยู่ นอกจากนั้นพวงมาลัยเพาเวอร์ก็จะไม่ทำงานเช่นกัน ทำให้บังคับพวงมาลัยได้ยาก

 

ส่วนรถเกียร์อัตโนมัติเมื่อล้อที่อยู่กับเพลาขับหมุนก็จะทำให้ชิ้นส่วนภายในเกียร์มีการหมุนไปด้วย โดยปกติเวลาที่เครื่องยนต์ทำงานจะมีชุดปั๊มน้ำมันในเกียร์อัตโนมัติคอยปั๊มหล่อลื่นภายในชุดเกียร์ ถ้าทำการดับเครื่องยนต์ก็จะทำให้ปั๊มหยุดทำงาน ทำให้เมื่อลงเขาเป็นเวลานานๆ จะทำให้ชิ้นส่วนภายในเกียร์อัตโนมัติเกิดความเสียหายได้

 

ในกรณีที่ใส่เกียร์ว่างแล้วปล่อยไหล เวลามีเหตุฉุกเฉินต้องเร่งคันเร่งทันที หรือต้องการแซง หลบสิ่งของที่อยู่บนถนน เราจะกดคันเร่งให้รถออกไปไม่ทัน โดยเฉพาะเกียร์ธรรมดา จะต้องเหยียบคลัชท์ก่อนเพื่อเข้าเกียร์ และเช่นเดียวกับการดับเครื่อง คือ รถไหลลงเขา จะมีความเร็วอยู่ประมาณหนึ่ง แต่เราใส่เกียร์ว่าง ขณะนั้นปั๊มน้ำมันเกียร์ จะทำงานในรอบเดินเบาของเกียร์ว่าง ทำให้สร้างแรงดันไปไม่พอกับชิ้นส่วนที่หมุนอยู่ขณะรถไหลลงเขา อาจจะทำให้ชิ้นส่วนภายใน เสื่อมสภาพเร็วขึ้นนั่นเอง

 

 

สายพานสายพาน

 

 

เรื่องที่น่าสนใจอื่นๆ

อัพเดท : 12 กรกฎาคม 2565

ทำไมถึง ห้ามเปิด ไฟฉุกเฉิน ขณะฝนตก

ห้ามเปิด

อาจเป็นอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตได้…
รู้หรือไม่? การเปิดไฟฉุกเฉินพร่ำเพรื่ออาจเกิดอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตได้ โดยเฉพาะตอนฝนตก ถนนลื่น ยิ่งไม่ควรทำ เพราะไม่ใช่แค่คุณเท่านั้นที่อาจไม่ปลอดภัย ยังร่วมไปถึงเพื่อนร่วมทางคนอื่นๆ ด้วย ที่อาจเกิดการบาดเจ็บจากการกระทำที่ประมาทของคุณ

การเปิด ไฟฉุกเฉิน จะทำให้เราไม่สามารถใช้ไฟเลี้ยวซ้ายหรือขวาได้ ทำให้รถที่ขับรถตามหลังมา รวมถึงผู้ร่วมใช้ถนนอื่นๆ ไม่สามารถรับรู้ถึงความต้องการของเราได้ ว่าจะไปทางซ้าย ขวา หรือต้องการจอด เนื่องจากไฟเลี้ยวจะไม่ทำงานขณะที่เปิดไฟฉุกเฉินอยู่ จะเห็นเพียงไฟกะพริบ 2 ด้านพร้อมกัน และไฟกะพริบฉุกเฉินยังส่งผลให้ดวงตาของผู้ขับขี่คันอื่นๆ พร่าเบลอได้ รวมถึงอาจจะทำให้รถที่จอดรถรอฝนซาบนไหล่ทาง หรือจอดเสียอยู่เสี่ยงต่อการโดนชนท้ายทั้ง ๆ ที่เปิดไฟฉุกเฉิน และหลบอยู่บนไหล่ทางอย่างถูกต้องตามกฎหมาย

 

แล้วขับรถตอนฝนตกหนักควรปฎิบัติตัวอย่างไร…

1. ลดความเร็ว ขับรถด้วยความระมัดระวัง
2. หากฝนตกหนักจนใบปัดน้ำฝนไม่สามารถทำงานได้ทัน ควรหาที่จอดในบริเวณที่ปลอดภัย เมื่อฝนซาค่อยเดินทางต่อ
3. หากเกิดเหตุฉุกเฉินจนต้องจอดบนไหล่ทาง ให้จอดห่างถนนให้มากที่สุด และเปิดไฟฉุกเฉินไว้ เพื่อส่งสัญญาณว่ามีรถจอดอยู่

 

ไฟฉุกเฉินควรเปิดตอนไหน?

1. เมื่อรถจอดเสียอยู่กับที่ จะช่วยลดความเสี่ยงการเกิดอุบัติเหตุซ้ำซ้อนได้
2. เมื่อต้องเบรกกะทันหัน การเปิดไฟฉุกเฉินขณะเบรกกะทันหัน เพื่อส่งสัญญาณเตือนให้ผู้ขับขี่ที่อยู่ด้านหลังใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ และเมื่อรถคันหลังชะลอความเร็วลงจนปลอดภัยแล้ว ควรปิดไฟฉุกเฉินทันที

 

 

สายพานสายพาน

 

 

เรื่องที่น่าสนใจอื่นๆ

อัพเดท : 21 มิถุนายน 2565

ขับรถช้าๆ ประหยัดน้ำมัน จริงหรอ?

ทริคง่ายๆ

ไม่อยากสิ้นเปลืองน้ำมันต้องอ่าน…
หลายคนเข้าใจว่าการขับรถช้าๆ นั้นจะทำให้ประหยัดน้ำมันมากขึ้น ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิดครับ ไม่ว่าจะขับรถช้าไปหรือเร็วไปก็สิ้นเปลืองน้ำมันอยู่ดี การใช้ความเร็วรถที่มากเกินไปจะทำให้เครื่องยนต์ทำงานหนักขึ้นเพื่อรักษาโมเมนตัมเอาไว้ ในขณะที่หากขับช้าไปเกียร์รถจะถูกปรับเกียร์ไปมาอัตโนมัติ ซึ่งต้องใช้พลังงานกับส่วนนี้มากขึ้น

วิธีขับรถให้ ประหยัดน้ำมัน …

 

ควบคุมความเร็วให้เหมาะสม
ไม่ว่าจะขับรถช้าไปหรือเร็วไปก็สิ้นเปลืองน้ำมันอยู่ดี สรุปได้ว่าการขับรถให้ประหยัดที่สุดนั้น ต้องใช้ความเร็วคงที่ ซึ่งความเร็วที่เหมาะสมจะอยู่ที่ 80-90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เนื่องจากมีประสิทธิภาพการเผาผลาญเชื้อเพลิงดีที่สุด

 

เร่งเครื่องเฉพาะที่จำเป็น ออกตัวเบา ๆ อย่ากระชาก
การออกตัวแบบกระชาก จะทำให้รถสิ้นเปลืองน้ำมันและทำให้ชิ้นส่วนต่างๆ เกิดการเสียหายได้ง่าย จึงควรออกตัวเบาๆ และเร่งเครื่องเฉพาะตอนที่จำเป็น

 

ใช้วิธีการชะลอแทนการเบรกบ่อยๆ
การเบรกรถยนต์บ่อยๆ นอกจากจะส่งผลทำให้เครื่องยนต์พังง่าย ชิ้นส่วนต่างๆ สึกหรอเร็ว ยังทำให้เครื่องยนต์ซดน้ำมันเพิ่มขึ้นได้ถึง 2 เท่า

 

ใส่เกียร์ N แทนเกียร์ D
เมื่อเจอกับปัญหาจราจรติดขัดนานๆ แนะนำให้เข้าเกียร์ว่าง (N) แทนที่จะเข้าเกียร์เดินหน้า (D) ทิ้งไว้ เพราะสามารถช่วยประหยัดน้ำมันได้ดีกว่า และไม่ต้องเหยียบเบรกทิ้งไว้ตลอดเวลา

 

ตรวจสอบเส้นทางก่อนออกเดินทาง
หลีกเลี่ยงเส้นทางจราจรติดขัด ตรวจสอบเส้นทางก่อนออกเดินทาง นอกจากจะช่วยให้ประหยัดเวลายังช่วยประหยัดน้ำมันได้ด้วย

 

เช็กลมยาง
หมั่นตรวจเช็กลมยางให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมเป็นประจำ เพราะถ้าลมยางอ่อนหรือแข็งไป เครื่องยนต์อาจทำงานหนักไป ส่งผลให้เกิดการสิ้นเปลืองน้ำมันโดยใช่เหตุ

 

ไม่บรรทุกของหนัก
การบรรทุกของหนักมากเกินไป จะทำให้เครื่องยนต์ทำงานหนัก และซดน้ำมันมากกว่าเดิม ฉะนั้นควรบรรทุกเฉพาะของที่จำเป็นเท่านั้น

 

เปิดแอร์อุณหภูมิที่เหมาะสม
เพราะการเปิดแอร์แต่ละครั้ง จะดึงพลังงานเชื้อเพลิงจากน้ำมันไปใช้มากถึง 10 – 20 % หากเปิดแอร์เย็นเกินไปจะทำให้สิ้นเปลือง จึงควรเปิดแอร์ในอุณหภูมิที่เหมาะสม เพื่อลดภาระทำงานของคอมเพรสเซอร์แอร์และเครื่องยนต์นั่นเอง

 

สายพานสายพาน

 

 

เรื่องที่น่าสนใจอื่นๆ

อัพเดท : 15 มิถุนายน 2565

สีรถยนต์ บอกนิสัยคนขับ….

สีบอกนิสัย

สีรถยนต์ที่คุณใช้บอกนิสัยคุณได้…
เวลาเลือกซื้อรถสักคน นอกจากดีไซน์ ฟังก์ชันแล้ว หลายคนยังเลือกซื้อจากสีรถยนต์ที่ถูกโฉลก และชื่นชอบด้วย ซึ่งสีรถแต่ละคันที่คุณเลือกนั้น สามารถบ่งบอกตัวตนได้ถึง 80% เลยทีเดียว มาดูกันว่าสีรถสีไหน บอกนิสัยคนขับรถยนต์อย่างไรบ้าง….

เลขท้ายป้ายทะเบียน
โดยทั่วไปแล้ว การเลือกตัวเลขของป้ายทะเบียนรถ นอกจากเรื่องความเชื่อต่างๆ อย่าลืมว่าเวลาขับขี่ทุกครั้ง คุณต้องมีสติ มีสมาธิ และปฏิบัติตามกฎจราจร เพราะไม่เช่นนั้นต่อให้เลขดีขนาดไหน ก็ไม่อาจทำให้ชีวิตคุณปลอดภัยได้

 

มาดูกันว่า เลขท้ายป้ายทะเบียน แต่ละตัวนั้นมีความหมายอย่างไร? …

 

ป้ายทะเบียน ลงท้ายด้วย 0
บ่งบอกว่าคนขับเป็นคนที่มีโลกส่วนตัวสูง มีบุคลิกที่ไม่เหมือนใคร มักมีความลับที่ไม่อยากเปิดเผย ชื่นชอบการเร่งเครื่องและความเร็ว ถนัดปาดซ้าย ปาดขวา แต่ในบางเวลาก็ขับขี่อย่างใจเย็น แล้วแต่อารมณ์ในขณะนั้น

 

ป้ายทะเบียน ลงท้ายด้วย 1
คุณเป็นคนที่มีความเชื่อมั่นในตัวเองสูง มั่นใจในตัวเอง ชอบเอาชนะ ใจร้อน ขี้โมโห มีความเป็นผู้นำ ชื่นชอบการขับรถในที่โล่งๆ ไม่มีใครตาม และไม่อยากตามใคร

 

ป้ายทะเบียน ลงท้ายด้วย 2
ว่ากันว่าเลข 2 หมายถึงพลังหญิง รถที่มีป้ายทะเบียนลงท้ายด้วย 2 นั้น นิสัยของคนขับไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชายจะมีความนุ่มนวล อ่อนหวาน ในบ้างครั้งอาจเชื่องช้า มักเปลี่ยนแปลงไปตามธรรมชาติล้อมตัว

 

ป้ายทะเบียน ลงท้ายด้วย 3
ป้ายทะเบียนที่ลงท้ายด้วย 3 บ่งบอกว่านิสัยคนขับเป็นคนกล้าคิด กล้าทำ กล้าลองในสิ่งต่างๆ ชื่นชอบความท้าทาย โดยเฉพาะความเร็ว ขับเร็ว ตัดสินใจเร็ว และบางครั้งก็กะทันหันเกินไป ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อเพื่อนร่วมถนนได้

 

ป้ายทะเบียน ลงท้ายด้วย 4
มักมีเหตุให้เดินทางบ่อยๆ ทั้งใกล้ ไกล และคนขับมักมีนิสัยโลเล มักเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา เชื่อใจใครยาก

 

ป้ายทะเบียน ลงท้ายด้วย 5
รถที่ป้ายทะเบียนลงท้ายด้วย 5 หมายความว่า คุณเป็นคนตรงไปตรงมา หนักแน่น มีความเป็นผู้ใหญ่ มักขับรถด้วยความซื้อตรง ตามกฎหมาย บ้างครั้งก็เชื่องช้าจนน่าขัดใจ

 

ป้ายทะเบียน ลงท้ายด้วย 6
คุณเป็นคนมีเสน่ห์ น่าค้นหา มีความนุ่มนวน อ่อนหวานละมุนละไม ชอบความบันเทิง รักอิสระ มักขับรถตามใจตัวเอง จึงควรระมัดระวังในเรื่องของการเกิดอุบัติเหตุ

 

ป้ายทะเบียน ลงท้ายด้วย 7
คุณเป็นคนละเอียดอ่อน ชอบวางแผน มีความรอบคอบและอดทน แต่มักขับรถด้วยความระแวงและกดดัน เพราะต้องการให้เป็นไปตามแผน จนอาจทำให้เครียด และเกิดอุบัติเหตุเล็กๆ น้อยๆ ได้

 

ป้ายทะเบียน ลงท้ายด้วย 8
เป็นคนความเสี่ยง แก้ไขสถานการณ์เก่ง มีไหวพริบ กล้าเสี่ยง มักขับรถด้วยความใจกล้า บ้าบิ่น ชอบลัดเลาะไปตามตรอกซอยเล็กๆ เพื่อความท้าทาย

 

ป้ายทะเบียน ลงท้ายด้วย 9
รถที่ป้ายทะเบียนลงท้ายด้วย 9 มี 2 แบบคือ 1.เป็นคนทันสมัย รู้ทันเทคโนโลยี 2. หัวโบราณหรือร่วมสมัย สนใจสิ่งลี้ลับ การขับขี่ของพวกลงท้ายด้วย 9 จึงไม่มีรูปแบบที่แน่นอน เพราะขึ้นอยู่กับสถานการณ์ต่างๆ

 

 

 

อ่านบทความที่น่าสนใจ